มหาสมัยสูตรครั้งที่ 2 (ตอนรายนามเหล่าเทวา)

สติของชนเหล่าใด แล่นไปแล้วในพระพุทธเจ้าเป็นนิตย์ ทั้งกลางวัน และกลางคืน ชนเหล่านั้น เป็นสาวกของพระโคดม ตื่นอยู่ด้วยดีในกาลทุกเมื่อ https://dmc.tv/a7922

บทความธรรมะ Dhamma Articles > ธรรมะเพื่อประชาชน
[ 1 ก.ย. 2553 ] - [ ผู้อ่าน : 18286 ]
มหาสมัยสูตรครั้งที่ ๒
(ตอนรายนามเหล่าเทวา)
 

 
     ดวงใจที่ได้รับการฝึกฝนอบรม ให้หยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ จะเป็นใจที่ใสสะอาดบริสุทธิ์  เมื่อมีใจสะอาดย่อมสามารถดำเนินจิต เข้าสู่เส้นทางสายกลางภายในได้อย่างง่ายดาย ทางสายกลางเป็นเส้นทางเอกสายเดียวที่มีความสำคัญยิ่งต่อชีวิต เพราะจิตที่เข้ากลางได้ จึงจะหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งปวง จิตที่หยุดนิ่งดีแล้ว จะได้รับความสุขที่เที่ยงแท้ถาวรที่ไม่มีทุกข์เจือปน  ดังนั้น ให้หมั่นฝึกทำใจหยุดใจนิ่งกันทุกๆ วัน
 
     มีวาระพระบาลีใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ความว่า
 
           “สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ    สทา โคตมสาวกา
            เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ     นิจฺจํ พุทฺธคตา สติ
 
     สติของชนเหล่าใด แล่นไปแล้วในพระพุทธเจ้าเป็นนิตย์ ทั้งกลางวัน และกลางคืน ชนเหล่านั้น เป็นสาวกของพระโคดม ตื่นอยู่ด้วยดีในกาลทุกเมื่อ”
 
     การมีใจส่งไปในพระพุทธเจ้าอยู่เนืองนิตย์ เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การยกย่องสรรเสริญอย่างยิ่ง  บุคคลใดหมั่นระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ บุคคลนั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต จะทำให้สภาวะจิตของบุคคลนั้นถูกยกให้สูงขึ้นไปตามลำดับ จนมีใจที่ผ่องใสบริสุทธิ์ ติดแน่นอยู่ในกลางองค์พระธรรมกาย และจะมีความสุขในการเจริญพุทธานุสติ
 
     เหมือนเหล่าเทวาทั้งหลายที่หลวงพ่อได้นำมาเล่าในตอนที่แล้ว เหล่าเทวดาในหมื่นจักรวาลต่างมาประชุมรวมกัน เพื่อที่จะฟังธรรมจากพระผู้มีพระภาคเจ้า มากันชนิดที่ว่ามืดฟ้ามัวดินทีเดียว เต็มจักรวาลไปหมด แม้ที่ว่างขนาดเพียงแค่ปลายขนทรายที่อยู่เบื้องหน้าของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ยังอัดแน่นไปด้วยเทวดา
 
     * ครั้งนี้หลวงพ่อจะเล่าต่อจากคราวที่แล้ว คือหลังจากที่ ท้าวมหาพรหมทั้งสี่ กล่าวสรรเสริญคุณของพระบรมศาสดา และพระสาวกทั้งหลายแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงใช้พระญาณอันบริสุทธิ์ สำรวจดูตั้งแต่ภาคพื้นไปจนจรดขอบปากจักรวาล จากขอบปากจักรวาลจนจรดพรหมโลก ทรงทอดพระเนตรเห็นการประชุมที่หนาแน่นของเทวดาและพรหม จึงดำริว่า
 
     “สมาคมนี้ใหญ่มาก แม้ญาณของเหล่าภิกษุทั้งหลายยังมองไม่ทะลุปรุโปร่งถึงจำนวนของเทวดาที่มาในวันนี้ เอาเถิด เราจะบอกพวกเธอเอง”  ทรงดำริเช่นนั้นแล้ว จึงตรัสเล่าถึงหมู่เทวาทั้งหลาย ที่มาประชุมรายล้อมพระตถาคตอย่างเนืองแน่นว่า
 
     “ภิกษุทั้งหลาย เทวดาในหมื่นจักรวาลที่มาประชุมในวันนี้ ในอดีตของพระพุทธเจ้าที่ผ่านมา ก็ประชุมกันมากเท่านี้ แม้ในอนาคตกาล  เมื่อมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ก็จะมีการประชุมใหญ่เช่นนี้เหมือนกัน”
 
     พวกเทวดาทั้งหลายที่มาในวันนี้มีหลายระดับ ที่มีบุญมากก็ได้อยู่ข้างหน้า ที่มีบุญลดหลั่นลงมาก็ถอยออกไปเรื่อยๆ  บางองค์แม้มาก่อนใคร แต่เมื่อเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ที่มีบุญมากกว่ามา ก็ต้องถอยไปเรื่อยๆ จนไปยืนอยู่ที่มหาสมุทรก็มี พวกเทวดาที่มีรัศมีน้อยต่างพากันคิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าคงไม่ทักทายพวกเราหรอก เพราะประทับอยู่ไกลเหลือเกิน คงจะทักก็เพียงแค่ชื่อ และโคตรของทวยเทพชั้นผู้ใหญ่เท่านั้น
 
     คิดอย่างนั้นต่างพากันนึกน้อยใจ (เทวดาน้อยใจเป็นเหมือนกัน แต่คงแสดงออกได้ไม่มากหรอก เพราะกลัวจุติเหมือนกัน) พระบรมศาสดาทรงใช้เจโตปริยญาณตรวจดูความคิดของเหล่าเทวาทั้งหลาย ทรงรู้วาระจิตของเทวดาเหล่านั้น เหมือนสอดมือเข้าไปจับที่ดวงใจ และเหมือนจับโจรได้ทั้งของกลาง จึงทรงดำริว่า การที่เรากล่าวถึงเทวดาพวกหนึ่ง แต่ไม่กล่าวถึงเทวาอีกพวกหนึ่ง ใจของเหล่าเทวาบางพวกจะไม่แช่มชื่น เอาเถิดเราจะกล่าวถึงชื่อ และโคตรของเหล่าเทพแม้ทั้งหมด ทั้งชั้นผู้น้อย และชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งต่างมาจากทั่วสารทิศ ทั้งหมื่นจักรวาล ให้ถ้วนทั่วทุกตัวตน
 
     พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงมีสัพพัญญุตญาณรู้แจ้งหมด ทรงรู้สิ่งที่ชาวโลกรวมทั้งเทวดาและพรหมได้เห็น ได้ยิน ได้รู้ ทรงรู้แจ้งแทงตลอด ด้วยพระญาณของพระองค์ ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่ชาวโลกรวมทั้งเทวดาและพรหม ได้เห็น ได้ยิน ได้รู้ ได้รู้แจ้ง ได้ถึง ได้แสวงหา ได้ใช้ใจท่องเที่ยวไป เรารู้สิ่งนั้น เราเห็นสิ่งนั้น เราเข้าใจสิ่งนั้นอย่างแจ่มแจ้งทีเดียว”  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระญาณบริสุทธิ์ จึงไม่มีอะไรที่จะมาขัดขวางการรู้การเห็นของพระพุทธองค์ได้ ทรงทำพวกเทวดาแม้ทั้งหมดที่ประชุมกันนั้น จัดเป็น ๖ กลุ่มตามอำนาจจริต คือ กลุ่มของเทวดาที่มีราคจริตมีประมาณเท่านี้ พวกโทสจริต โมหจริต สัทธาจริต พุทธิจริต และวิตกจริตมีอยู่ประมาณเท่านี้
 
     เมื่อพระองค์ตรวจดูแล้ว ทรงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตอนนี้มีหมู่เทวามากันมากมาย พวกเธอจงรู้จักหมู่เทวดาเหล่านั้นเถิด” ภิกษุเหล่านั้นฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแล้ว ต่างสอดญาณของแต่ละท่านไปดู เห็นพวกที่มีกายทิพย์ และที่เป็นอมนุษย์ แต่การเห็นไม่เท่ากัน ภิกษุบางกลุ่มเห็นได้ร้อยหนึ่งบ้าง บางกลุ่มเห็นได้แค่พันหนึ่งบ้าง บางกลุ่มเห็นได้เจ็ดหมื่นบ้าง บางกลุ่มเห็นได้หนึ่งแสน บางกลุ่มเห็นได้ไม่มีที่สุด
 
     พระศาสดาทรงใคร่ครวญรู้เหตุนั้นจึงตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หมู่เทวดาที่มาชุมนุมกันมีมากมายเหลือเกิน รู้ญาณของเธอเห็นได้ไม่เท่ากัน เราจักบอกพวกเธอตามลำดับ ตอนนี้มียักษ์ ๗,๐๐๐ ที่เป็นภุมมเทวดา อาศัยอยู่ในกรุงกบิลพัสดุ์ มียักษ์ ๖,๐๐๐ ที่อาศัยอยู่ในเขาเหมวัต ยักษ์ ๓,๐๐๐ ที่อาศัยอยู่ที่เขาสาตาคีรี ยักษ์เหล่านั้นรวมทั้งหมดเป็น ๑๖,๐๐๐ ตน มีผิวพรรณแตกต่างกัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ มีใจยินดีมุ่งหน้ามาสู่ที่นี่ ซึ่งเป็นที่ประชุมแห่งภิกษุทั้งหลาย
 
     มียักษ์อีก ๕๐๐ ตน อยู่ที่เขาวิศวามิตร ยักษ์ชื่อกุมภีร์ อยู่ในกรุงราชคฤห์อาศัยเขาเวปุลละ ยักษ์มากกว่าแสนไปเฝ้ายักษ์กุมภีร์นั้น แม้ยักษ์ชื่อกุมภีร์อาศัยอยู่ในกรุงราชคฤห์นั้นก็ได้มายังที่นี้ พวกนาคที่อยู่ในสระชื่อนาสภะ และอยู่ในเมืองไพศาลีพร้อมบริษัทแห่งตัจฉกนาคราชก็มา พวกนาคตระกูลกัมพล และตระกูลอัสดรก็มา พวกนาคที่อยู่ที่ท่าปายาคะพร้อมกับหมู่ญาติก็มา พวกนาคในแม่น้ำยมุนา ตระกูลธตรฐผู้มียศก็มา เอราวัณเทพบุตรก็มา”
 
     พญาครุฑมาโดยเวหาถึงท่ามกลางป่า พญาครุฑเหล่านั้นมีชื่อว่า จิตรสุบรรณ ได้มีการอภัยระหว่างพญาครุฑกับพวกพญานาค ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำความปลอดภัยให้ พวกนาค และพวกครุฑทักทายกันด้วยวาจาที่ไพเราะ ต่างมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ จึงยุติศึกกันชั่วคราว พวกบริวารรับใช้ของมหาราชทั้งสี่ แต่ละองค์ต่างมีฤทธิ์มีเดชมีอานุภาพ มากันพร้อมหน้าพร้อมตา ต่างยินดีมุ่งหน้ามาสู่อริยสถาน ซึ่งเป็นที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย
 
     แม้ท้าวมหาราชทั้งสี่ก็มา ตั้งแต่ท้าวธตรฐปกครองทิศตะวันออก ผู้เป็นอธิบดีของพวกคนธรรพ์ก็มาพร้อมบริวาร ส่วนท้าววิรุฬหกปกครองทิศใต้ เป็นอธิบดีของพวกครุฑก็มาพร้อมบุตรและบริวารเป็นจำนวนมาก ท้าววิรุฬปักษ์ปกครองทิศตะวันตก เป็นอธิบดีของพวกนาค ก็มาพร้อมบุตรและบริวาร ท้าวเวสสวัณปกครองด้านทิศเหนือ เป็นอธิบดีของพวกยักษ์ ก็มาพร้อมบุตรและบริวาร ท้าวมหาราชทั้งสี่ ยังทิศทั้งสี่โดยรอบให้รุ่งเรือง ประทับอยู่ในป่าใกล้กรุงกบิลพัสดุ์
 
     เราจะเห็นว่า อานุภาพแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ก่อให้เกิดสันติภาพ และสิ่งมหัศจรรย์มากมาย และยังสรรพสัตว์ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน โดยทุกท่านมีใจมุ่งตรงต่อพระพุทธองค์ แค่ใจที่เป็นหนึ่งเดียวกันนี้ ก็สามารถก่อให้เกิดสันติสุขขึ้นมาในทันที ยิ่งได้ฟังธรรม พระธรรมก็มีอานุภาพยิ่งใหญ่ ที่จะสร้างสันติสุขให้บังเกิดขึ้นกับสรรพสัตว์ทุกหมู่เหล่า ทั้งมนุษย์และอมนุษย์ รวมทั้งพวกนาค ครุฑ ยักษ์ คนธรรพ์ หรือเหล่าเทวดาต่างมีใจเป็นหนึ่งเดียวอยู่กับพระรัตนตรัย เรื่องราวยังไม่จบ ในโอกาสต่อไปหลวงพ่อจะนำมาเล่าต่ออีก

พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
 
* มก. มหาสมัยสูตร เล่ม ๑๔ หน้า ๘๖
  

http://goo.gl/f2DVH


พิมพ์บทความนี้



บทความอื่นๆ ในหมวด

      มงคลที่ ๑๕ บำเพ็ญทาน - อานิสงส์ทำบุญทอดกฐิน
      หลุดพ้นจากสังสารวัฏ
      โสฬสญาณ
      เบื้องต้นเบื้องปลายไม่ปรากฏ
      พระอรหันต์รู้ได้ยาก
      ความวิเศษสุดของพระพุทธศาสนา
      พระอรหันต์มีจริง
      พระอริยเจ้า
      ผลแห่งการชวนคนมารู้จักพระรัตนตรัย
      คนดีที่โลกต้องการ
      นักสร้างบารมีพันธุ์อาชาไนย
      เวสารัชชธรรม ๔
      ต้นแบบแห่งความดี




   ค้นหา บทความธรรม    

  ฝันในฝันวิทยา
  สารพันธรรมะ
  ปกิณกธรรม
  ผลการปฏิบัติธรรม
  โครงการฟื้นฟูศีลธรรมโลก
  ธรรมะบันเทิง
  ข่าว
  ข่าวประชาสัมพันธ์
  ข่าวบุญฝากประกาศ
  DMC NEWS
  ข่าวรอบโลก
  กิจกรรมเว็บ dmc.tv
  Scoop - Review DMC
  เรื่องเด่นทันเหตุการณ์
  Review รายการ DMC
  หนังสือธรรมะ
  ธรรมะเพื่อประชาชน
  ที่นี่มีคำตอบ
  หลวงพ่อตอบปัญหา
  อยู่ในบุญ
  สุขภาพนักสร้างบารมี
  นิทานชาดก
  CaseStudy กฎแห่งกรรม
  กฎแห่งกรรม
  เรื่องราวชีวิต
  เหลือเชื่อแต่จริง
  อุทาหรณ์สอนใจ
  ฮอตฮิต...ติดดาว
  วิบากกรรม...ทำให้ทุกข์
  บุญเกื้อหนุน
  ปรโลกนิวส์
  ธรรมะและสมาธิ
  พุทธประวัติ
  สมาธิ
  ผลการปฏิบัติธรรมนานาชาติ
  ทศชาติชาดก
  พุทธประวัติและวันสำคัญ
  บทสวดมนต์
  ศัพท์ธรรมะ ภาษาอังกฤษ
  มหาปูชนียาจารย์
  อานุภาพมหาปูชนียาจารย์
  ประวัติ
  กิจกรรม
  ธุดงค์สถาปนาเส้นทางมหาปูชนียาจารย์
  About DMC
  เกี่ยวกับ DMC
  DMC GUIDE
  มือถือ Mobile
  คู่มือเว็บ www.dmc.tv
  มาวัดพระธรรมกาย
   ค้นหา บทความธรรม    

ธรรมะที่เกี่ยวข้อง - Related