วิธุรบัณฑิตบําเพ็ญสัจจบารมี (2)

ชีวิตนี้น้อยนัก หมู่สัตว์ย่อมตาย แม้ภายใน ๑๐๐ ปี ถ้าแม้สัตว์เป็นอยู่เกิน ๑๐๐ ปีไปไซร้ สัตว์นั้นก็ต้องตายเพราะชราโดยแท้ https://dmc.tv/a6830

บทความธรรมะ Dhamma Articles > ธรรมะเพื่อประชาชน
[ 14 มิ.ย. 2553 ] - [ ผู้อ่าน : 18266 ]
วิ ธุ ร บั ณ ฑิ ต
บํ า เ พ็ ญ สั จ จ บ า ร มี  ( ๒ )



 
     ชีวิตนี้น้อยนัก หมู่สัตว์ย่อมตาย แม้ภายใน ๑๐๐ ปี ถ้าแม้สัตว์เป็นอยู่เกิน ๑๐๐ ปีไปไซร้ สัตว์นั้นก็ต้องตายเพราะชราโดยแท้

     การได้อัตภาพเป็นมนุษย์ เป็นสิ่งที่ได้มาโดยยากยิ่ง เพราะเป็นโอกาสเดียวที่สามารถสั่งสมบุญกุศลได้เต็มที่ และสามารถลิขิตชีวิตในสังสารวัฏให้เป็นไปตามที่ต้องการ จะไปอบายก็ได้ ไปสวรรค์ก็ได้ หรือไปนิพพานก็ได้ เริ่มต้นกันที่กายมนุษย์นี้ คนส่วนใหญ่มักใช้ชีวิตให้หมดไป โดยไม่ได้เพิ่มเติมบุญกุศลให้กับตนเอง ยังชะล่าใจ ประหนึ่งว่า จะมีอายุเป็นร้อยเป็นพันปี แต่บัณฑิตนักปราชญ์กลับเร่งรีบสร้างความดี สั่งสมบุญกุศลให้เต็มเปี่ยม เพราะรู้คุณค่าของชีวิตและเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดในกายมนุษย์นี้ ฉะนั้นพวกเราต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ต้องเร่งสร้างบารมีให้เต็มที่ เพื่อแข่งกับเวลาของชีวิตที่เหลือน้อยลงไปทุกที

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ว่า

    " อปฺปํ วต ชีวิตํ อิทํ    โอรํ วสฺสสตาปิ มิยฺยติ
    สเจปิ อติจฺจ ชีวติ       อถ โข โส ชรสาปิ มิยฺยติ

    ชีวิตนี้น้อยนัก หมู่สัตว์ย่อมตาย แม้ภายใน ๑๐๐ ปี  ถ้าแม้สัตว์เป็นอยู่เกิน ๑๐๐ ปีไปไซร้ สัตว์นั้นก็ต้องตายเพราะชราโดยแท้ "

    อายุเฉลี่ยของมนุษย์ในสมัยพุทธกาลประมาณ ๑๐๐ ปี บุคคลใดมีอายุเกินกว่านั้น ถือเป็นผู้มีอายุยืน แต่ถึงกระนั้น เวลาแค่ร้อยปีไม่สามารถจะทำอะไรได้มาก เพราะวันคืนสั้นนัก และนับวันสังขารมีแต่จะเสื่อมลงไป เนื่องจากถูกความชราคุกคามนำความเสื่อมโทรมมาให้ ทั้งพละกำลัง เรี่ยวแรง ความคิด ความจำและสติปัญญาก็ถดถอย จะลุกจะนั่งก็ลำบาก สุดท้ายได้แต่รอวันเดินทางไกลไปสู่ปรโลก

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอนให้เราหมั่นเจริญมรณานุสติ จะได้ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต ทรงตอกยํ้าบ่อยๆ ว่า ให้ละจากบาปอกุศลทั้งปวง ให้ขวนขวายสั่งสมบุญทุกชนิด เพื่อจะได้เป็นเสบียงบุญในการเดินทางข้ามสังสารวัฏ และหมั่นทำใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสเสมอ ละโลกแล้ว จะได้ไปสู่สุคติภูมิ

    * ครั้งนี้ เราจะมาศึกษาเรื่องราวการสร้างบารมีของพระบรมโพธิสัตว์ต่อจากครั้งก่อน เมื่อปุณณกยักษ์ได้รับอนุญาตจากท้าวเวสสวัณแล้ว ก็รีบเหาะไป หมายจะจับตัวพระโพธิสัตว์ให้ได้ คิดว่า ท่านเป็นผู้มีบุญมาก มีปัญญา มีบริวารมาก คงไม่อาจจับตัวได้ง่ายๆ จึงควบม้าเหาะตรงมาที่เขาวิปุลบรรพตก่อน เพื่อไปเอาดวงแก้วมณี เป็นแก้วมณีชั้นเลิศที่มีอานุภาพมาก สามารถบันดาลความสำเร็จให้ได้ดังใจทุกประการ ปุณณกยักษ์ได้เหาะขึ้นไปหยิบดวงแก้วมา โดยไม่เกรงกลัวยักษ์ผู้เป็นเจ้าหน้าที่ ซึ่งคอยอารักขาอยู่ เพราะปุณณกยักษ์มีศักดิ์ใหญ่กว่า มีอานุภาพมากกว่า เมื่อได้แก้วมณีมาแล้ว ก็รีบควบม้ามุ่งหน้าสู่นครอินทปัตต์ทันที 
 
    ปุณณกยักษ์ลงจากหลังม้าแล้วเข้าสู่สภาแห่งชาวกุรุรัฐประกาศท้าทายพระราชา ๑๐๑ พระองค์ ที่กำลังประชุมพร้อมเพรียงกันอยู่ ณ ที่นั้นว่า "แก้วมณีดวงนี้ มีอานุภาพมาก สามารถนำทรัพย์สมบัติมาให้ได้ดังใจปรารถนา ถ้าใครสามารถชนะการเล่นสกาได้ ก็จะได้ม้าอาชาไนยตัวนี้ และแก้วมณีดวงนี้ไปครอบครอง" พระเจ้าธนัญชัยทรงสดับแล้ว จึงตรัสว่า "ดูก่อนพ่อมาณพ แก้วมณีดวงเดียวจักทำอะไรได้ ม้าอาชาไนยตัวเดียวจักทำอะไรได้ ดวงแก้วของพระราชาก็มีมากมาย ม้าอาชาไนยมีกำลังรวดเร็วดุจลมพัด สิ่งเหล่านี้ก็มิใช่ว่าจะไม่มี"

    ยักษ์ฟังเช่นนั้น จึงกราบทูลว่า "ข้าแต่มหาราชเจ้า ม้าของข้าพเจ้าตัวเดียวมีอานุภาพยิ่งกว่าม้านับ ๑,๐๐๐ ตัว แก้วมณีของข้าพเจ้าดวงเดียวมีคุณค่ามากกว่าแก้วมณีนับ ๑,๐๐๐ ดวง ม้าทั้งชมพูทวีปไม่อาจเทียบกับม้าของข้าพเจ้าได้ ขอพระองค์ทอดพระเนตรก่อนเถิด" ยักษ์ควบม้ากระโจนขึ้นไปบนกำแพงเมืองที่กว้าง ๗ โยชน" เหาะเหินรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ จนพระราชาทุกพระองค์มองแทบไม่ทัน เห็นแต่ผ้าแดงที่คาดพุงเท่านั้น กำลังเวียนประทักษิณรอบเมือง

    จากนั้น ยักษ์สั่งให้ม้าวิ่งบนผิวนํ้าในสระโบกขรณี ม้าวิ่งไปโดยปลายกีบไม่เปียกน้ำ จากนั้น ให้ม้าวิ่งควบไปบนใบบัว เพียงยักษ์ปรบมือครั้งหนึ่งแล้วเหยียดมือออก ม้าก็วิ่งผ่านไปโดยใบบัวไม่ช้ำ และวิ่งเผ่นมาหยุดอยู่ที่ฝ่ามือ ต่อหน้าพระราชาทั้งหลายทันที พระราชาเห็นเช่นนั้น พากันชื่นชมอานุภาพของม้าแก้วอาชาไนยยิ่งนัก

    ต่อมาปุณณกยักษ์ทูลเชิญพระราชาทั้งหลาย ให้ทอดพระเนตรอานุภาพของแก้วมณี ยักษ์ตั้งแก้วมณีไว้ท่ามกลางสมาคมของพระราชา ให้พระราชาทอดพระเนตรแก้วมณีที่สว่างไสวนั้น ทุกพระองค์ทรงเห็นภาพปรากฏในแก้วมณี เป็นภูเขา ป่าไม้ สัตว์ป่านานาชนิด ซึ่งเป็นภาพเคลื่อนไหวมีชีวิตชีวา มีพญานาค พญาครุฑ กินนร กินนรี เห็นชีวิตความเป็นไปในป่าหิมพานต์ ราวกับกำลังเข้าไปเที่ยวชมป่าหิมพานต์ ที่เต็มไปด้วยฝูงนกนานาชนิด ฝูงหงส์ นกกระเรียน นกยูง และสัตว์ป่าหิมพานต์ชนิดต่างๆ ทุกพระองค์ต่างเห็นภาพ และได้สดับเสียงด้วย

    ยิ่งทอดพระเนตรแก้วมณีไปนานเท่าไร ก็ยิ่งอยากได้แก้วมณีนั้น เพราะเห็นถึงความอัศจรรย์  ครั้นมองต่อไปก็เห็นปุพพวิเทหทวีป อมรโคยานทวีป อุตตรกุรุทวีป และชมพูทวีปทั้งหมด เห็นการโคจรของดวงดาวนักษัตร พระจันทร์ พระอาทิตย์ที่เวียนรอบเขาสิเนรุ เห็นตั้งแต่เชิงเขาไปถึงยอดเขาพระสุเมรุ เห็นไปถึงท้าวมหาราชทั้ง ๔ ประดุจเชื่อมมนุษย์และสวรรค์ให้มาอยู่ใกล้กัน จากนั้นเห็นสวนสวรรค์ในชั้นดาวดึงส์ คือปารุสกวัน จิตรลดาวัน มิสสกวันและนันทวัน ทั้งเวชยันตปราสาทและสุธรรมาเทวสภา ต้นปาริฉัตรที่กำลังมีดอกแย้มบาน

    พระราชาทุกพระองค์ทรงเพลิดเพลินกับการทอดพระเนตรสวรรค์เสมือนกับเสด็จไปทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง ยักษ์รู้ว่าพระราชาต่างมีพระประสงค์ในแก้วมณี จึงท้าพนันว่า ถ้าหากพระราชาพระองค์ใดทรงเล่นสกาชนะ จะได้แก้วมณีนี้ไป แต่หากแพ้ต้องทำตามเงื่อนไขของตน และเป็นที่รู้กันว่า พระราชาของปุโรหิตโพธิสัตว์ทรงเล่นสกาเก่งที่สุด เพราะฉะนั้นคู่ที่เหมาะสมที่สุด คือพระเจ้าธนัญชัยผู้เป็นพระราชาของพระโพธิสัตว์กับปุณณกยักษ์นั่นเอง

    พระเจ้าธนัญชัยตรัสอย่างมั่นใจว่า "เดิมพันในครั้งนี้ ยกเว้นตัวเรากับเศวตฉัตรและพระมเหสีเท่านั้น สิ่งอื่นนอกนั้นเรายกให้ได้หมด" ยักษ์ตกลงตามนั้น แล้วเริ่มเล่นสกากันทันที โดยมีพระราชา ๑๐๑ พระองค" เป็นสักขีพยาน เจ้าพนักงานยกกระดานสกาที่ทำด้วยเงิน และลูกบาศก์ที่ทำด้วยทองมาตั้งตรงกลาง พระราชาให้ยักษ์ทอดสกาก่อน แต่ยักษ์ทูลให้พระราชาทอดก่อน

    เมื่อเริ่มเล่น พระราชาทรงพลิกสกาซึ่งมีลักษณะเป็นลูกบาศก์ โยนขึ้นไปในอากาศ แต่ด้วยอานุภาพของยักษ์ ลูกบาศก์จึงไม่เป็นไปตามที่ทรงประสงค์ พระราชาผู้เก่งกาจในการเล่นสกา รีบรับไว้กลางอากาศ แล้วจับโยนขึ้นไปใหม่ แม้ครั้งที่ ๒ ก็ทำท่าจะปราชัยอีก จึงทรงรีบรับไว้แล้วโยนขึ้นไปใหม่ ในครั้งที่ ๓ นั้น พระราชาจะทำสำเร็จหรือไม่ เราจะมารับฟังในตอนต่อไป

    สิ่งที่น่าสนใจในเรื่องนี้คือ ดวงแก้วมณีที่เป็นประดุจแก้วสารพัดนึก ที่ทำให้เห็นถึงภาพความเป็นอยู่ในภพภูมิที่ละเอียดประณีตกว่าโลกมนุษย์เรานี้ อีกทั้งยังยืนยันว่า สิ่งลี้ลับอื่นๆ เช่น ป่าหิมพานต์และสวรรค์นั้น มีอยู่จริง เราจะได้เร่งทำความดี เพื่อจะได้มีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไป

    อีกประการหนึ่ง การเล่นพนันนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควร เพราะผู้แพ้ย่อมเสียทรัพย์ ผู้ชนะย่อมก่อเวร ไม่ดีทั้งสองฝ่าย และยังเป็นปากทางไปสู่ความเสื่อม คนโบราณให้ข้อคิดสอนใจไว้ว่า โจรปล้นบ้าน ๗ ครั้ง ยังไม่เท่าไฟไหม้บ้านครั้งเดียว ไฟไหม้บ้าน ๗ ครั้ง ยังไม่เท่าเล่นพนันเสียเพียงครั้งเดียว เพราะฉะนั้นดีที่สุดอย่าไปเล่น ที่เล่นก็ให้เลิก ให้ห่างไกลจากอบายมุขทุกชนิด มุ่งทำชีวิตให้มีคุณค่า ด้วยการสั่งสมบุญบารมีกันดีกว่า 
 
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
 
* มก. วิธุรชาดก เล่ม ๖๔ หน้า ๓๐๒
 

http://goo.gl/WP6Qp


พิมพ์บทความนี้



บทความอื่นๆ ในหมวด

      มงคลที่ ๑๕ บำเพ็ญทาน - อานิสงส์ทำบุญทอดกฐิน
      หลุดพ้นจากสังสารวัฏ
      โสฬสญาณ
      เบื้องต้นเบื้องปลายไม่ปรากฏ
      พระอรหันต์รู้ได้ยาก
      ความวิเศษสุดของพระพุทธศาสนา
      พระอรหันต์มีจริง
      พระอริยเจ้า
      ผลแห่งการชวนคนมารู้จักพระรัตนตรัย
      คนดีที่โลกต้องการ
      นักสร้างบารมีพันธุ์อาชาไนย
      เวสารัชชธรรม ๔
      ต้นแบบแห่งความดี




   ค้นหา บทความธรรม    

  ฝันในฝันวิทยา
  สารพันธรรมะ
  ปกิณกธรรม
  ผลการปฏิบัติธรรม
  โครงการฟื้นฟูศีลธรรมโลก
  ธรรมะบันเทิง
  ข่าว
  ข่าวประชาสัมพันธ์
  ข่าวบุญฝากประกาศ
  DMC NEWS
  ข่าวรอบโลก
  กิจกรรมเว็บ dmc.tv
  Scoop - Review DMC
  เรื่องเด่นทันเหตุการณ์
  Review รายการ DMC
  หนังสือธรรมะ
  ธรรมะเพื่อประชาชน
  ที่นี่มีคำตอบ
  หลวงพ่อตอบปัญหา
  อยู่ในบุญ
  สุขภาพนักสร้างบารมี
  นิทานชาดก
  CaseStudy กฎแห่งกรรม
  กฎแห่งกรรม
  เรื่องราวชีวิต
  เหลือเชื่อแต่จริง
  อุทาหรณ์สอนใจ
  ฮอตฮิต...ติดดาว
  วิบากกรรม...ทำให้ทุกข์
  บุญเกื้อหนุน
  ปรโลกนิวส์
  ธรรมะและสมาธิ
  พุทธประวัติ
  สมาธิ
  ผลการปฏิบัติธรรมนานาชาติ
  ทศชาติชาดก
  พุทธประวัติและวันสำคัญ
  บทสวดมนต์
  ศัพท์ธรรมะ ภาษาอังกฤษ
  มหาปูชนียาจารย์
  อานุภาพมหาปูชนียาจารย์
  ประวัติ
  กิจกรรม
  ธุดงค์สถาปนาเส้นทางมหาปูชนียาจารย์
  About DMC
  เกี่ยวกับ DMC
  DMC GUIDE
  มือถือ Mobile
  คู่มือเว็บ www.dmc.tv
  มาวัดพระธรรมกาย
   ค้นหา บทความธรรม    

ธรรมะที่เกี่ยวข้อง - Related