เมื่อต้นเดือนมกราคม พ.ศ.2551 ดิฉันได้ไปปฏิบัติธรรมที่สวนพนาวัฒน์ ขณะที่กำลังนั่งสมาธิอยู่นั้น ดิฉันก็เห็นตัวเองอยู่บนปากปล่อง และก็เห็นพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯมาปรากฏ บอกว่า “ดิ่งลงไป” ดิฉันก็พยายามดิ่งลงไป แต่ก็ได้ประมาณ 2 ใน 3 ของปล่องแล้วก็ลอยขึ้นมาอีก พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯจึงบอกว่า “ข้าจะดิ่งให้ดู” https://dmc.tv/a3633

Dhamma Articles > 善友经验
[ 31/5/2008 ] - [ 读者 : 18269 ]
View this page in: ไทย

ผลการปฏิบัติธรรม

กัลยาณมิตร รองศาสตราจารย์ วัชรี ทรัพย์มี (ประเทศไทย)
 
กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง
 
    ดิฉันชื่อ รองศาสตราจารย์ วัชรี ทรัพย์มี อายุ 64ปี เป็นอาจารย์คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันเกษียณจากราชการแล้ว แต่ก็ยัง “มีทรัพย์” เหมือนนามสกุลค่ะ ต่อมาจึงเริ่มแสวงหาอริยทรัพย์เพิ่มเติมในภายหลัง เพื่อที่จะได้ทั้ง “ทรัพย์มี” และ “อริยทรัพย์มี” ดิฉันสะสมทรัพย์ภายนอกพอประมาณ แต่สะสมทรัพย์ภายในสุดประมาณค่ะ
 
    ดิฉันได้รับบุญเข้ามาถวายความรู้ที่วัดพระธรรมกาย วิชาที่สอน คือ “จิตวิทยาการให้คำปรึกษา” เพราะเห็นว่า พระเป็นที่พึ่งทางใจให้แก่สาธุชน ซึ่งมักจะนำความทุกข์มาปรึกษากับพระ, ก่อนเข้าวัดดิฉันไม่เคยเชื่อเรื่องที่เหนือธรรมชาติเกินความเป็นจริง แต่ภายหลังจากฝึกสมาธิ(Meditation)แล้ว สิ่งที่ไม่เคยเชื่อก็ได้มาช่วยดิฉันให้มั่นใจว่า “ใช่” ค่ะ
 
    ดิฉันได้มีโอกาสมาปฏิบัติธรรมที่วัดพระธรรมกาย ด้วยมูลเหตุจากการที่ลูกสาวของดิฉันประสบอุบัติเหตุ หมอบอกว่า ต้องได้รับการผ่าตัดสมอง ทำให้ดิฉันกลุ้มใจมาก เมื่อไม่มีทางออก ดิฉันจึงได้บนพระ ขอให้ลูกสาวปลอดภัยไม่ต้องผ่าตัด แล้วจะแก้บนด้วยการปฏิบัติธรรม ในที่สุดลูกสาวก็พ้นขีดอันตรายและไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัดสมอง แต่นับจากวันนั้นจวบจนเวลาผ่านไปปีกว่า ดิฉันก็ยังไม่ได้แก้บนที่เคยผูกสัญญาใจไว้ เพราะยังเลือกไม่ได้ว่าจะไปนั่งสมาธิที่ไหนดี
 
    วันหนึ่ง พี่สาวและน้องสาวของสามีได้ชวนให้ดิฉันขึ้นไปปฏิบัติธรรมที่สวนบัวรีสอร์ท โดยบอกว่า เป็นรีสอร์ตที่สบายมาก ตัวดิฉันเป็นคนชอบความสบาย อีกทั้งคิดว่า การไปปฏิบัติธรรมต้องถือศีลแปด ไม่ทานข้าวเย็น จึงคิดว่า “ก็ดีเหมือนกัน คราวนี้จะได้ผอมสมใจซะที” จึงตกลงไปปฏิบัติธรรมในปี พ.ศ.2538
 
    วันแรกที่สวนบัว พระอาจารย์สอนให้นึกองค์พระที่กลางท้อง ดิฉันก็ยังสงสัยว่า จะมีองค์พระไปอยู่ในท้องได้อย่างไร เศียรพระคงทิ่มอวัยวะภายในพังหมด แต่ดิฉันก็ปฏิบัติตามโดยมองไปที่องค์พระใสบนโต๊ะหมู่บูชา เห็นองค์พระนั้นมีเศียรมนๆ ก็คิดใหม่ว่า เศียรของท่านคงไม่ทิ่มอวัยวะภายในหรอก จึงอธิษฐานขอให้องค์พระไปอยู่ที่กลางท้อง หลังจากการนั่งสมาธิในรอบนั้น ดิฉันก็ตรึกเห็นองค์พระอยู่ที่กลางท้องตลอดเวลา
 
    หลังจากกลับจากสวนบัว ดิฉันก็ตั้งใจรักษาองค์พระไว้ ด้วยการไปปฏิบัติธรรมที่วัดพระธรรมกายในวันอาทิตย์ และนั่งสมาธิที่บ้านเป็นประจำทุกวัน ช่วงเช้า 1ชั่วโมงและช่วงเย็นอีก 1ชั่วโมง อีกทั้งในเวลานั่งทำงาน ดิฉันจะตรึกองค์พระไปเรื่อยๆ โดยคิดว่า “นั่ง นอน ยืน เดิน อย่ามัวเพลินจนลืมพระธรรมกาย” เวลานั่งทำงาน เมื่อรู้สึกล้าก็จะนั่งหลับตาทำสมาธิ แม้จะเป็นชั่วครู่ก็ตาม ก็ยังคงเห็นองค์พระอยู่เสมอ ก่อนนอนดิฉันจะทำสมาธิ แล้วหลับไปพร้อมกับการทำสมาธิ เมื่อตื่นมาเข้าห้องน้ำก็เห็นองค์พระในท้องเป็นประจำ
 
    ครั้งหนึ่ง ขณะที่ดิฉันกำลังทำสมาธิอยู่ในห้องน้ำ ก็เห็นพระผุดมาจากท้อง มีความรู้สึกเหมือนเป็นล้านๆองค์, ในช่วง 3เดือนแรกของการฝึกสมาธินั้น วันหนึ่ง ดิฉันเห็นดวง ตกลงไปเร็วมาก ครั้นพอจะเอามือคว้าไว้แต่ก็ไม่ทัน ความรู้สึกเหมือนตกจากที่สูง รู้สึกเย็นๆ เป็นความรู้สึกที่สบายมาก
 
    หลังจากทำสมาธิมาได้ 3-4ปี ในปี พ.ศ.2542 ดิฉันมีอาการแน่นหน้าอกจึงเข้าโรงพยาบาล หมอพบว่า เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ขณะที่ได้รับการตรวจ ดิฉันก็วูบใกล้หมดสติ เห็นแต่ความมืด ในใจดิฉันคิดว่า ความมืดคือความตาย จึงพยายามยื้อไว้ แต่ก็ยื้อไม่ไหว ฉับพลันนั้นดิฉันก็เห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่มากนั่งอยู่กลางท้อง และก็เห็นพระสงฆ์จำนวนหนึ่งเดินไปปรึกษากับพระพุทธรูปองค์นั้น ในขณะนั้นดิฉันไม่ได้นึกถึงเรื่องในโลกมนุษย์เลย มองแต่ภาพที่ปรากฏ
 
    สักพักหนึ่งก็นึกว่า “นี่เราตายแล้วหรือ” จึงรู้สึกใจหายไม่อยากตาย อยากกลับไปหาลูกและสามี ในที่สุดก็ได้ยินเสียงหมอเรียก เมื่อดิฉันฟื้นก็ถามพยาบาลว่า “เกิดอะไรขึ้น” พยาบาลก็บอกว่า “คุณหมดสติ ตาเหลือกไปแล้ว หมอเลยใช้ไฟฟ้ากระตุ้นหัวใจ” หากดิฉันไปโรงพยาบาลไม่ทันภายใน 15นาทีก็อาจจะต้องเสียชีวิตเป็นแน่ ไม่ทราบว่าดิฉันรอดชีวิตมาได้อย่างไรค่ะ พระเดชพระคุณหลวงพ่อ
 
    ต่อมาภายหลัง ดิฉันมีความสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมมากมาย พยายามอ่านหนังสือและสอบถามผู้รู้ว่า “เราคิดไปเองหรือเปล่า ทำไมเห็นองค์พระอยู่เสมอทั้งหลับตาและลืมตา” ดิฉันจึงได้หยุดทำสมาธิไป 3-4เดือน เพราะคิดว่าทำไปก็เท่านั้นไม่ก้าวหน้า แต่ใจก็เฝ้านึกถึงการทำสมาธิวันละ 4-5ครั้ง จนหักห้ามใจไม่ไหว จึงเริ่มทำสมาธิอีก ปรากฏว่ามองไม่เห็นองค์พระ รู้สึกใจหาย แต่ก็มีเสียงบอกว่า “ให้มองลงไปอีกชั้นหนึ่ง” ดิฉันก็มองลงไป เห็นองค์พระลางๆ มองไปเรื่อยๆ ในที่สุดองค์พระก็ชัดใส
 
    เมื่อต้นเดือนมกราคม พ.ศ.2551 ดิฉันได้ไปปฏิบัติธรรมที่สวนพนาวัฒน์ ขณะที่กำลังนั่งสมาธิอยู่นั้น ดิฉันก็เห็นตัวเองอยู่บนปากปล่อง และก็เห็นพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯมาปรากฏ บอกว่า “ดิ่งลงไป” ดิฉันก็พยายามดิ่งลงไป แต่ก็ได้ประมาณสองในสามของปล่อง แล้วก็ลอยขึ้นมาอีก พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯจึงบอกว่า “ข้าจะดิ่งให้ดู”
 
    ท่านก็ดิ่งลงไปแล้วหันหน้ามาบอกดิฉันว่า “ดิ่งตามหลวงปู่มา” ดิฉันก็ดิ่งตาม พอใกล้ถึงก้นปล่อง ดิฉันก็ถูกดูดลงไป แล้วปรากฏดวงแก้วกลมใสสวนขึ้นมา ดิฉันรู้สึกตื้นตันใจจนเหมือนน้ำตาไหล และมีเสียงกระซิบมาว่า “นั่นคือดวงธรรม” ดวงนี้คือดวงอะไรคะพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
 
[คุณครูไม่ใหญ่ (พระเดชพระคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ์) “นั่นคือดวงธรรม”]
 
    ดิฉันนั่งสมาธิทุกวัน โดยมองไปที่กลางดวงนั้น รู้สึกว่ามีอะไรเคลื่อนไหวอยู่ตรงกลางดวง กลางดวงก็ขยายออก แล้วภาพก็เปลี่ยนเป็นองค์พระนั่งซ้อนๆกันเป็นแถวเรียงหนึ่ง มีพระผุดขึ้นมา บางวันพระก็ผุดเร็ว บางวันก็ผุดช้า บางวันก็ไม่ผุด บางวันก็ผุดออกมามาก และเร็วเหมือนลมพัด ควบคุมท่านไม่ได้ วันที่ท่านไม่ผุด  มองไปที่องค์พระ องค์พระค่อยๆขยายใหญ่ออกไปทุกที จนบางทีรู้สึกว่าใหญ่กว่าโลก
 
    หลังจากกลับจากพนาวัฒน์แล้ว ปรากฏว่าสิ่งดีๆก็หลั่งไหลเข้ามาในชีวิตของดิฉัน เหตุการณ์ที่หนักใจอยู่ก็คลี่คลายลง ความสุขก็เข้ามาจับจองจนเต็มเปี่ยมในใจดิฉัน สมาธิทำให้ใจดิฉันสงบเย็น รู้เท่าทันอารมณ์ และทำให้มองคนอื่นในแง่ดีได้ ถ้าไม่มีพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ และคุณครูไม่ใหญ่ ดิฉันก็คงไม่ได้มาพบกับความสุขเช่นนี้ค่ะ
 
กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูง
                                                         
รศ.วัชรี ทรัพย์มี

http://goo.gl/QrliX


พิมพ์บทความนี้



相关个案