ทศชาติชาดกเรื่อง มหาชนก ผู้ยิ่งด้วยวิริยบารมี ตอนที่ 3
จากตอนที่แล้ว ได้กล่าวถึงกรุงมิถิลาว่า ได้มีพระราชาทรงพระนามว่ามหาชนกราช ทรงพระราชทานตำแหน่งอุปราชแก่พระโอรสองค์พี่ คือพระอริฏฐชนก พระราชทานตำแหน่งเสนาบดีแก่พระโปลชนกผู้เป็นโอรสองค์น้อง
ต่อมาเมื่อพระมหาชนกสวรรคต พระอริฏฐชนกได้ครองราชสมบัติ ก็ได้ทรงแต่งตั้งพระโปลชนก ให้เป็นอุปราช ต่อมามีอำมาตย์ผู้ใกล้ชิด ได้เข้าเฝ้าพระราชากราบทูลยุแหย่ว่า พระอุปราชคิดจะปลงพระชนม์พระองค์เพื่อแย่งชิงราชบัลลังก์ เมื่อพระอริฏฐชนกราช ทรงสดับครั้งแรกก็ไม่ปักใจเชื่อ แต่เมื่อถูกกราบทูลใส่ความบ่อยเข้าก็ทรงเชื่อ จึงรับสั่งให้ทหารไปจับพระอุปราชขังไว้เพื่อรอสำเร็จโทษ
พระโปลชนกผู้ไม่มีความผิด ได้ทรงตั้งสัตยาธิษฐานว่า “ตั้งแต่เราเกิดมาไม่เคยคิดเป็นศัตรูต่อเจ้าพี่เลย ด้วยสัจจะวาจานี้ ขอให้เครื่องจองจำจงหลุดจากมือและเท้าโดยพลัน เทวดาที่คอยตามดูแลรักษาพระโปลชนกเห็นความบริสุทธิ์ใจของพระองค์ จึงบันดาลให้เครื่องจองจำแตกหักเป็นท่อนๆ แล้วก็ได้เปิดประตูให้
พระองค์จึงได้ทรงหนีไปพำนักอยู่ในตำบลบ้านชายแดน ก็ทรงได้รับการสนับสนุนจากคนในถิ่นนั้นเป็นอย่างดี และได้ชักชวนกันมาสวามิภักดิ์มากมาย วันหนึ่งกองทหารของพระองค์จำนวนหนึ่งบุกเข้าปล้นกองทหารด่านหน้าของพระราชา และได้ฆ่าทหารของพระราชาตายไปเป็นจำนวนมาก
พวกหัวหน้ากองทหารของพระโปลชนก จึงรีบเข้าทูลแจ้งเรื่องทั้งหมดแด่พระโปลชนกให้ทรงทราบ และทูลแนะนำให้รีบชิงลงมือเข้ายึดพระนครโดยเร็ว ถ้าชักช้าก็จะไม่ทันการณ์ และในบัดนี้กองทหารของเราก็พร้อมรบ ขอเพียงทรงสั่งการเท่านั้นทุกอย่างก็จะไปได้สวย ขอพระองค์ทรงบัญชาการรบด้วยตนเองเถิด
พระโปลชนกเมื่อทรงได้รับรายงานดังนั้น ก็ทรงมีดำริว่า“ถ้าเราหนีก็จะต้องสู้ศึกทั้งสองด้าน ทั้งทหารของพระราชาต่างแคว้นและพระเชษฐาของเรา คงจะรอดชีวิตได้ไม่นาน แต่ถ้าเรารีบเข้าล้อมพระนครไว้ก็มีสิทธิ์ชนะ เพราะทหารในเมืองที่ภักดีต่อเราก็มีมาก เมื่อก่อนเราไม่เคยคิดร้ายต่อเจ้าพี่เลย แต่คราวนี้เหตุการณ์มันบังคับเสียแล้วแหละ”ดำริดังนี้แล้วจึงตรัสสั่งให้ประชุมพลในทันที โดยทรงมีรับสั่งว่า
“ในการสั่งการเคลื่อนกองกำลังปราบกบฏของพระเชษฐา อย่างเร็วที่สุดก็สองวัน กว่าที่กองพลจะเคลื่อนออกจากพระนคร ดังนั้น ก่อนที่กำลังพลจะเคลื่อนออกมา ในวันมะรื่นนี้ ก่อนรุ่งสาง เราต้องเข้าล้อมพระนครไว้ให้ได้ ภายในคืนนี้ให้เตรียมทุกอย่างให้พร้อม เมื่อทุกอย่างพร้อมเราจะออกเดินทางทันที”
ภายในคืนนั้น กองทัพของพระโปลชนก อันประกอบไปด้วย กองรบช้าง กองรบม้า กองรบดาบ กองรบธนูก็ออกเดินทางเข้าสู่กรุงมิถิลา ใช้เวลาในคืนวันรุ่งขึ้นอีกครึ่งคืนก็เข้าเขตพระนคร จึงทรงให้ตั้งค่ายพักแรมอยู่นอกพระนคร
พอรุ่งสางก็ตรัสสั่งให้ล้อมพระนครเอาไว้ พร้อมทั้งได้ส่งข่าวสาร ไปถวายพระเชษฐาว่า“เมื่อก่อนข้าพระองค์ไม่เคยคิดเป็นศัตรูต่อเจ้าพี่เลย ทั้งไม่เคยแปรพักตร์คิดแย่งชิงราชสมบัติ แต่พระเจ้าพี่เชื่อฟังคำยุยงของอำมาตย์ผู้ใกล้ชิด จะสำเร็จโทษข้าพระองค์ บัดนี้ หม่อมฉันจะขอราชสมบัติหละ เจ้าพี่จะมอบราชสมบัติให้แก่หม่อมฉันหรือจะรบจงรีบตอบมา”
ฝ่ายเหล่าทหารชาวมิถิลานครที่เคยภักดีต่อพระโปลชนก ครั้นทราบว่า พระโปลชนกเสด็จมา ก็พากันขนอาวุธยุทโธปกรณ์ มาเข้าร่วมขบวนทัพ แม้ชาวนครเหล่าอื่นก็มาขออาสาเข้าร่วมสงครามด้วยอีกเป็นจำนวนมาก
พระราชาอริฏฐชนกทรงสดับสารของพระอนุชาแล้ว ก็ไม่สบายพระราชหฤทัยนักที่จะต้องรบกับพระอนุชา และทรงรู้สึกว่า พระองค์เป็นฝ่ายผิดก่อน แต่ครั้นจะยกราชสมบัติให้ ก็เกรงคำครหาจากชาวเมืองว่า พระองค์ไม่ใช่ชายชาตินักรบ จึงส่งพระราชสาสน์ตอบไปว่าจะขอรบ
ก่อนเสด็จออกรบ ทรงเรียกอัครมเหสีมา ตรัสบอกพระนางว่า"ในการรบครั้งนี้ ชนะหรือแพ้มิอาจจะรู้ได้ เพราะพระอนุชามีกำลังทหารมิใช่น้อย ทั้งยังเคยบัญชาการกองทัพมาก่อน ทหารแต่ละนายก็กระหายสงคราม ถ้าหากเราประสบภัยเธอพึงรักษาครรภ์ไว้ให้ดี"
ครั้นตรัสแนะนำอุบายในการรักษาชีวิต และหนทางหลบหนีออกจากพระนครให้แก่พระอัครมเหสีแล้ว ก็เสด็จกรีฑาทัพออกจากพระนคร ทำการรบกับกองทัพของพระอนุชาของพระองค์เอง โดยที่ไม่ค่อยจะสบายพระราชหฤทัยนัก
ขณะที่รบกันอยู่อย่างสามารถเพียงในวันแรกเท่านั้น ทหารของพระโปลชนกก็ได้ใช้ธนูยิงพระเจ้าอริฏฐชนกราชถึงสิ้นพระชนม์บนคอช้างท่ามกลางสนามรบนั้นเอง
เมื่อข้าราชบริพารของพระเจ้าอริฏฐชนกรู้ว่าพระราชาของตนสวรรคตแล้ว ก็ไม่มีใครคิดจะต่อสู้อีก จึงได้เปิดประตูเมืองให้กองทัพของพระโปลชนกเข้าสู่พระนครในวันนั้นแล้วก็ได้จัดการอภิเษกให้พระโปลชนกครองราชสมบัติแทนพระเชษฐาของพระองค์สืบไป
ฝ่ายอัครมเหสีของพระเจ้าอริฏฐชนก ครั้นทรงทราบว่า พระราชสวามีสวรรคตแล้วก็รีบเก็บสิ่งของสำคัญใส่ในกระเช้า เอาผ้าเก่าๆ ปูปิดไว้ แล้วเอาข้าวสารทับข้างบน ทรงนุ่งภูษาเก่าๆ ปลอมเป็นหญิงชาวบ้านธรรมดา ทรงวางกระเช้าบนพระเศียร จากนั้นก็รีบเสด็จออกจากพระนครตามลำพัง
พระนางได้เสด็จออกทางประตูทิศอุดร ครั้นพ้นประตูเมืองออกมาก็ไม่รู้ว่าจะเสด็จไปทางไหนดี เพราะไม่เคยเสด็จไปไหนตามลำพังมาก่อนเลย จึงทรงกำหนดทิศทางไม่ได้ จึงประทับนั่งที่ศาลาแห่งหนึ่ง คอยตรัสถามว่า “มีคนเดินทางไปนครกาลจำปากะ (กา ละ จำ ปา กะ)ไหม”
เนื่องจากผู้ที่มาเกิดในพระครรภ์ของพระเทวีนั้น มิใช่บุคคลธรรมดา แต่เป็นพระโพธิสัตว์ผู้มีพระบารมีมาบังเกิด ด้วยเดชานุภาพแห่งพระโพธิสัตว์นั้น จึงบันดาลให้ภพของท้าวสักกเทวราชเกิดอาการร้อน
เมื่อท้าวสักกะตรวจดูก็ทรงทราบความเป็นไปทั้งหมด จึงทรงเนรมิตเกวียนมีประทุนหลังคาเรียบร้อย พร้อมทั้งจัดเตียงน้อยไว้ในเกวียนเล่มนั้น แล้วทรงจำแลงพระองค์เป็นชายแก่ขับเกวียน ไปหยุดอยู่ตรงประตูศาลาที่พระเทวีประทับ แล้วก็ตรัสถามว่า “มีใครจะไปกาลจัมปากะนครบ้างไหม”
พระเทวีได้ทรงสดับดังนั้น จึงตรัสบอกความประสงค์ว่า “ท่านตา ข้าพเจ้าจะไปกาลจัมปากะนคร”ท้าวสักกะจึงตรัสเชื้อเชิญว่า “ถ้าเช่นนั้น ขอเชิญแม่นางขึ้นมานั่งบนเกวียนเถิด”
พระเทวีเสด็จลุกขึ้น แล้วตรัสบอกท้าวสักกะว่า “ท่านตา ข้าพเจ้ามีครรภ์แก่ ไม่อาจจะขึ้นเกวียนไปได้ ท่านตาช่วยรับกระเช้าของข้าพเจ้าขึ้นเกวียนไปด้วย ส่วนตัวข้าพเจ้านั้นจะขอเดินตามเกวียนไป”
ท้าวสักกะทรงพรรณนาความสามารถในการขับเกวียนว่า “แม่นางพูดอะไร คนที่รู้จักวิธีขับเกวียนได้ดีเหมือนตาไม่มีอีกแล้ว แม่นางอย่ากลัวเลย ขึ้นนั่งบนเกวียนเถิด ตาจะพาแม่นางเดินทางสู่เมืองกาลจัมปากะอย่างปลอดภัย”
เมื่อพระเทวีได้รับการเชื้อเชิญด้วยความจริงใจจากชายชราผู้ใจดีเช่นนั้น ก็มีความยินดี ด้วยอานุภาพแห่งพระโอรส ขณะที่พระเทวีจะเสด็จขึ้นเกวียน แผ่นดินได้นูนขึ้นจนจรดท้ายเกวียน ทำให้พระเทวีทรงก้าวขึ้นอย่างสบาย
เมื่อประทับนั่งบนเกวียนแล้ว พระเทวีทรงมั่นใจว่า ผู้ที่ขับเกวียนนี้ต้องเป็นคนดีแน่ ด้วยอัธยาศัยไมตรี และการพูดจาก็ดูสุภาพทุกอย่าง จึงบรรทมบนพระแท่นสิริไสยาสน์อย่างวางพระทัย และได้หยั่งลงสู่นิทรา เพราะได้บรรทมบนแท่นอันเป็นทิพย์
ท้าวสักกเทวราชแปลงทรงขับเกวียนมาไกลราว 30 โยชน์ จนถึงแม่น้ำสายหนึ่ง จึงปลุกพระเทวีให้ตื่นขึ้นแล้วตรัสเชื้อเชิญ ให้พระนางลงจากเกวียนไปสรงสนานในแม่น้ำ
ในระหว่างนั้น ทรงนำผ้าเนื้อละเอียดที่เนรมิตไว้มามอบให้ผลัดเปลี่ยน และเนรมิตอาหารที่ประณีตมามอบให้ พระนางได้เสวยอาหารนั้นด้วยความหิว จากนั้นก็บรรทมหลับต่อไปอีก ส่วนการเดินทางไปสู่นครกาลจำปากะของพระเทวีจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
http://goo.gl/pMuik