จากตอนที่แล้ว กองทัพของพระโปลชนก ออกเดินทางเข้าสู่มิถิลานคร ใช้เวลาในคืนวันรุ่งขึ้นอีกครึ่งคืนก็เข้าเขตพระนคร จึงทรงให้ตั้งค่ายพักแรมอยู่นอกพระนคร พอรุ่งสางก็ตรัสสั่งให้ล้อมพระนครเอาไว้ พร้อมทั้งได้ส่งสารไปถวายพระเชษฐาว่า “เมื่อก่อนหม่อมฉันไม่เคยคิดเป็นศัตรูต่อเจ้าพี่เลย แต่บัดนี้ หม่อมฉันจะขอเป็นศัตรูหละ เจ้าพี่จะมอบราชสมบัติให้แก่หม่อมฉันหรือจะรบจงรีบตอบมา”
พระราชาอริฏฐชนกทรงสดับสารของพระอนุชาแล้ว ก็ทรงเรียกพระอัครมเหสีมา ตรัสบอกพระนางว่า การรบครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะชนะหรือจะแพ้ ถ้าหากเราประสบภัยเธอพึงรักษาครรภ์ไว้ให้ดี แล้วก็ยกทัพออกจากพระนคร ทำการรบกับกองทัพของพระอนุชาของพระองค์เอง
ขณะที่รบกันอยู่อย่างสามารถ เพียงในวันแรกเท่านั้น ทหารของพระโปลชนกก็ได้ใช้ธนูยิงพระเจ้าอริฏฐชนกราชถึงสิ้นพระชนม์บนคอช้างท่ามกลางสนามรบนั้นเอง
เมื่อข้าราชบริพารของพระเจ้าอริฏฐชนกรู้ว่าพระราชาของตนสวรรคตแล้ว ก็ไม่มีใครคิดจะต่อสู้อีก จึงได้เปิดประตูเมืองให้กองทัพของพระโปลชนกเข้าสู่พระนครในวันนั้น แล้วก็ได้จัดการอภิเษกให้พระโปลชนกครองราชสมบัติแทนพระเชษฐาของพระองค์สืบไป
ฝ่ายอัครมเหสีของพระเจ้าอริฏฐชนกทรงรู้ว่าพระสวามีสิ้นพระชนม์แล้ว จึงทรงปลอมเป็นหญิงชาวบ้าน รีบเสด็จออกจากพระนคร ทรงได้รับการอนุเคราะห์จากท้าวสักกะ ซึ่งทรงเนรมิตเกวียนแล้วทรงจำแลงพระองค์เป็นชายแก่ ขับเกวียนมารับพระนางไปสู่นครกาลจำปากะ
ในเวลาเย็นวันนั้น ก็ลุถึงนครกาลจำปากะ พระเทวีทอดพระเนตรเห็นประตูหอรบและกำแพงพระนคร จึงตรัสถามท้าวสักกะว่า “ท่านตา เมืองนี้ชื่ออะไร”ท้าวสักกะตรัสตอบว่า “นครกาลจัมปากะ แม่นาง”
พระเทวีตรัสค้านว่า “ท่านตา ท่านพูดอะไร นครกาลจำปากะอยู่ห่างจากนครของพวกเราถึง 60 โยชน์มิใช่หรือ”ท้าวสักกะตรัสว่า “ถูกแล้วแม่นาง แต่ตารู้จักหนทางลัด จึงมาถึงเร็ว”
แล้วท้าวสักกเทวราชก็ให้พระเทวีลงจากเกวียน ณ ที่ใกล้ประตูด้านทิศทักษิณ ตรัสบอกว่า “แม่นาง บ้านของตาอยู่ข้างหน้า แต่แม่นางจงเข้าไปสู่นครนี้เถิด”ตรัสแล้วท้าวสักกะก็ขับเกวียนต่อไปเหมือนไปข้างหน้า แล้วหายพระองค์กลับไปสู่ที่ประทับยังภพดาวดึงส์
ส่วนพระเทวีก็เสด็จเข้าสู่ประตูพระนคร เนื่องจากไม่รู้ว่าจะเสด็จไปทางไหนดีเพราะไม่ทรงรู้จักใครเลย จึงประทับนั่งที่ศาลาพักร้อนแห่งหนึ่งตามลำพัง
ขณะนั้น มีพราหมณ์ชาวเมืองกาลจัมปากะผู้สอนมนต์คนหนึ่ง เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ มีลูกศิษย์เป็นชายหนุ่ม 500 คนแวดล้อม กำลังเดินไปเพื่ออาบน้ำที่ท่าน้ำผ่านมาที่ด้านหน้าศาลานั้น
พราหมณ์ท่านนี้ได้แลเห็นพระเทวี ผู้มีพระรูปกายสมบูรณ์ทุกส่วน ประทับนั่งอยู่ที่ศาลาพักร้อนเพียงคนเดียว เมื่อพินิจผิวกายก็ช่างละเอียดอ่อน ลักษณะของมือและเท้านั้นเรียวงาม ก็รู้ว่าหญิงผู้นี้เป็นผู้มีตระกูลสูงส่ง และเค้าหน้าอย่างนี้เธอคงไม่ใช่คนเมืองนี้แน่
ด้วยอานุภาพแห่งบุญของพระโพธิสัตว์ผู้บังเกิดในพระครรภ์ของพระเทวี เมื่อพราหมณ์มองเห็นพระเทวีเท่านั้น จึงเกิดเมตตาราวกับว่าเป็นน้องสาวแท้ๆ ของตน
ได้ให้มาณพทั้งหมด หยุดรออยู่ข้างนอกก่อน ส่วนตนก็เข้าไปในศาลาตามลำพัง ได้ไต่ถามการมาของพระนางว่า “น้องหญิง แม่นางคงไม่ใช่คนถิ่นนี้ เธอมาจากเมืองไหนหรือ”
พระเทวีได้ทอดพระเนตรพราหมณ์ซึ่งอยู่ในวัยกลางคนที่เข้ามาทักทายตนก็ดำริว่า “พราหมณ์ผู้นี้ ท่าทางองอาจสง่าผ่าเผย ดูภูมิฐาน นัยน์ตาเฉียบคมปานดังเหยี่ยว คงจะเป็นอาจารย์ของพวกคนหนุ่มที่ยืนรออยู่ด้านหลังนั้น จึงตรัสตอบไปว่า “ฉันเป็นชาวเมืองมิถิลา หนีภัยสงครามมาจ้ะ”
“แม่นาง ฉันเป็นมหาพราหมณ์ ผู้เป็นอาจารย์สอนศิลปะศาสตร์ให้แก่ศิษย์ที่อยู่เบื้องหลังนั้น กำลังจะไปอาบน้ำ ฉันดูลักษณะของเธอแล้ว เธอคงไม่ใช่หญิงชาวเมืองธรรมดาละกระมัง พอจะเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของเธอให้เราทราบได้หรือไม่”
พระเทวีดำริว่า ชายผู้มีสายตาเฉียบคมผู้นี้ ดูเป็นคนเปิดเผย มีฐานะเป็นอาจารย์ของคนทั้งหลาย พอที่จะเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของเราได้ จึงตรัสเล่าเรื่องราวทั้งหมดไห้ฟังว่า “ฉันเป็นอัครมเหสีของพระอริฏฐชนกราช ผู้เป็นพระราชาของกรุงมิถิลา...เมื่อสองวันก่อน พระองค์ได้ทำสงครามกับกองทัพของพระอนุชาของพระองค์เอง แต่ทรงเสียทีแก่ข้าศึก ถูกทหารฝ่ายตรงข้ามยิงด้วยลูกธนูสิ้นพระชนม์ในสงคราม ฉันกลัวภัยที่จะมาถึงตน จึงหนีมายังเมืองนี้ เพื่อรักษาครรภ์ไว้”“โอ จริงๆ ด้วย เธอเป็นถึงพระอัครมเหสี นี่พระนางทรงพระครรภ์ด้วยหรือนี่ หม่อมฉันขอพระราชทานอภัยด้วย ที่แสดงอาการไม่สุภาพ”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ” “แล้วพระเทวีจะไปที่ไหนต่อ พระเทวีทรงมีพระประยูรญาติอยู่ในเมืองนี้บ้างหรือไม่ละ”
“ฉันไม่รู้จะไปทางไหนเหมือนกัน เพราะไม่รู้จักใครในเมืองนี้เลย”
มหาพราหมณ์นึกสงสารพระเทวียิ่งนัก จึงกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น พระเทวีอย่าทรงร้อนพระทัยไปเลย หม่อมฉันชื่ออุทิจจพราหมณ์ เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ หากไม่รังเกียจ ขอเชิญพระเทวีไปพักอาศัยอยู่กับหม่อมฉันก่อนเถิด”
แล้วมหาพราหมณ์ก็ออกอุบายว่า “ขอให้พระนางทำตามคำแนะนำของหม่อมฉัน โดยหม่อมฉันขอตั้งพระนางไว้ในตำแหน่งน้องสาว เพื่อปกปิดไม่ให้ใครรู้ฐานะที่แท้จริงของพระนางและพระโอรส
...หม่อมฉันจะให้บริวารคอยปฏิบัติดูแลพระนางเป็นอย่างดี ขอให้พระนางเรียกหม่อมฉันว่าพี่ชายก็แล้วกัน พระนางจงแสดงอาการร้องไห้ประดุจว่าได้มาพบพี่ชายที่จากกันมานานในบัดนี้เถิด”
พระเทวีทรงเห็นว่าพราหมณ์อยู่ในฐานะที่พอจะเอาเป็นที่พึ่งได้ในยามยากเช่นนี้ จึงทรงปฏิบัติตามคำแนะนำของพราหมณ์ทุกอย่าง ทรงร้องไห้รำพรรณเรียกพราหมณ์ว่าพี่ แล้วทอดพระองค์ลงจับข้อเท้าของพราหมณ์ ทั้งสองต่างแสดงความรักและคิดถึงประดุจพี่น้องที่รักกันแต่ต้องจากกันไปเสียนาน
ฝ่ายเหล่าลูกศิษย์ได้ยินเสียงของพราหมณ์และพระเทวีร้องให้ จึงพากันเข้าไปในศาลา ถามว่า “ท่านอาจารย์ นางเป็นใครหรือขอรับ”
พราหมณ์กล่าวด้วยอาการตื้นตันใจว่า “ท่านทั้งหลาย หญิงนี้เป็นน้องสาวของฉัน เราถูกพรากจากกันตั้งแต่ครั้งยังเล็ก เพิ่งจะมาพบกันในวันนี้แหละ ฉันดีใจเหลือเกิน”
พวกลูกศิษย์จึงแสดงความยินดีต่ออาจารย์ และได้ปวารณาว่า “ท่านอาจารย์โปรดวางใจเถิด พวกเราจะช่วยกันดูแลน้องสาวของท่านเป็นอย่างดี เสมือนกับเป็นมารดาของพวกเราเอง”
http://goo.gl/GyjLh