จากตอนที่แล้ว พระเจ้าวิเทหราชทอดพระเนตรเห็นกิริยานอบน้อมของมโหสถบัณฑิต ก็ทรงทราบว่า มโหสถยังเคารพพระองค์อยู่ ไม่ได้คิดก่อกบฏแต่อย่างใด จึงรับสั่งให้มโหสถเข้าเฝ้า
มโหสถบัณฑิตก็กราบทูลตรงๆ ว่า “พระองค์ทรงเชื่อถ้อยคำให้ร้ายของอาจารย์ทั้ง ๔ ที่ทูลยุยงด้วยคำเท็จ และยังได้มอบหมายให้อาจารย์ทั้ง ๔ มาคอยลอบฆ่าข้าพระองค์อีก เพราะเหตุนี้แหละ ข้าพระองค์จึงมิได้มาตามเวลาเดิม”
พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับดังนั้น ก็ทรงตกพระทัยอยู่ไม่น้อย แต่ก็ทรงข่มความรู้สึกของพระองค์ไว้ แล้วจึงตรัสถามว่า “พ่อมโหสถ ทำไมเธอถึงกล่าวเช่นนั้น เธอระแวงไปเองหรือเปล่า”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าพระองค์ใคร่จะกราบทูลถึงความลับของอาจารย์เสนกะเสียก่อน พระพุทธเจ้าข้า” มโหสถบัณฑิตกราบทูลเป็นลำดับแรก ก่อนจะเปิดเผยความลับของอาจารย์เหล่านั้นทีละคน
“ขอเดชะ อาจารย์เสนกะเป็นคนโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ สามารถฆ่าบุคคลอันเป็นที่รักของชาวพระนครได้ลงคอ เขาได้ร่วมหลับนอนกับหญิงงามเมืองนางหนึ่งแล้ว แต่เพราะความโลภอยากได้เครื่องประดับของหญิงงามเมืองนางนั้น จึงลงมือฆ่านาง แล้วหมกร่างของนางไว้ในสวนรังใกล้เมืองนี่เอง ภายหลังจึงได้เล่าความลับของตนให้สหายคนหนึ่งฟังเท่านี้ก็เพียงพอที่จะสรุปได้ว่า ผู้ที่เป็นเสี้ยนหนามแห่งราชบัลลังก์ของพระองค์ มิใช่ข้าพระองค์ดอกพระพุทธเจ้าข้า แต่ทว่าเป็นท่านเสนกะผู้มีใจเหี้ยมโหดมือเปื้อนโลหิตนี่ต่างหากเล่า ฉะนั้น ขอได้ทรงโปรดรับสั่งให้จับเสนกะผู้เป็นขบถต่อพระองค์เถิด พระพุทธเจ้าข้า”
พอมโหสถทูลจบ พระเจ้าวิเทหราชก็ทรงทอดพระเนตรไปทางอาจารย์เสนกะทันที พลางมีพระราชดำรัสถามด้วยพระสุรเสียงเฉียบขาดว่า “เป็นความจริงหรือ ท่านเสนกะ”
อาจารย์เสนกะก้มหน้าก้มตา กราบทูลด้วยเสียงแหบเครือว่า “เป็นความจริงพระพุทธเจ้าข้า”“เฮ้ย...ราชบุรุษ พวกท่านจงนำตัวอาจารย์เสนกะไปขังไว้ในเรือนจำเดี๋ยวนี้” แล้วพวกราชบุรุษก็รับสนองพระราชดำรัสนั้นทันที
จากนั้น พระราชาก็ตรัสถามมโหสถต่อไปว่า “แล้วอาจารย์ที่เหลือล่ะ มีเรื่องความลับอะไรอีก เธอจงเล่าไปเถิด อย่ามัวรอช้าอยู่เลย”
ครั้นแล้วมโหสถจึงได้กราบทูลถึงความลับของอาจารย์ปุกกุสะเป็นลำดับต่อมา “ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปุกกุสะก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่น่าเข้าใกล้เลยพระพุทธเจ้าข้า เพราะเขาเป็นโรคเรื้อนที่ขา อาการร้ายแรงทีเดียว ทรงระลึกได้หรือไม่ว่า เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ พระองค์ยังทรงสำคัญผิดไปว่า ท่อนขาของปุกกุสะมีสัมผัสอ่อนนุ่ม ทั้งๆที่จริงแล้ว เป็นเพราะเอาผ้าพันแผลโรคเรื้อนที่ขาไว้ เรื่องนี้ไม่มีผู้ใดรู้เลย นอกจากน้องชายของเขาเท่านั้น
พระเจ้าวิเทหราชทอดพระเนตรอาจารย์ปุกกุสะแล้ว จึงตรัสถามว่า “เป็นความจริงหรือไม่ ท่านอาจารย์ปุกกุสะ”
อาจารย์ปุกกุสะก็กราบทูลสารภาพว่า “เป็นความจริงพระพุทธเจ้าข้า”“ราชบุรุษทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าก็จงนำปุกกุสะไปขังไว้ในเรือนจำเถิด” ท้าวเธอตรัสอย่างไม่เหลือเยื่อไย
ครั้นแล้วมโหสถบัณฑิต จึงได้กราบทูลความลับของอาจารย์กามินทะเป็นรายต่อไป “ขอเดชะ กามินทะเป็นอีกคนหนึ่งที่มีความลับอันน่าสะพรึงกลัว ไม่น้อยไปกว่าทุกคน แต่ก็พยายามปกปิดความลับนั้นไว้อย่างแนบเนียน
เรื่องก็มีอยู่ว่า ทุกๆวันอุโบสถข้างแรม ยักษ์ชื่อนรเทพจะเข้าสิงกามินทะ ทำให้กามินทะต้องเห่าหอนเหมือนสุนัขบ้า จนลูกชายต้องขังไว้ในห้อง แล้วจัดให้มีมหรสพที่ประตูบ้านเพื่อกลบเสียงเห่าหอนของบิดา ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท โปรดทรงใคร่ครวญดูเถิดว่า สมควรหรือไม่ที่พระองค์จะรับเอาคนบ้าผีสิงมาอยู่ในพระราชสำนักของพระองค์”
พระเจ้าวิเทหราชก็ตรัสถามอาจารย์กามินทะทันทีว่า “จริงหรือไม่ท่านกามินทะ”
ท่านกามินทะหมดทางแก้ตัว จึงได้ทูลรับสารภาพว่า “เป็นเช่นนั้นจริง พระพุทธเจ้าข้า”
บัดนี้อาจารย์ทั้ง ๔ ผู้ที่พยายามให้ร้ายป้ายสีคิดทำลายมโหสถ ทำให้ได้รับความลำบากลำบนหลายครั้งหลายครา ซึ่งมโหสถก็ให้อภัยไม่ถือสาหาความเรื่อยมา ในครั้งนี้ หากมโหสถไม่คิดปราณี ก็เห็นทีว่า พวกเขาคงไม่มีชีวีเหลือรอดเป็นแน่ แต่ก็ยังเหลือความลับของอาจารย์เทวินทะอีกคน ซึ่งก็หนักหนาสาหัสไม่แพ้กัน เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
http://goo.gl/Ju3Dm