ข้อความต้นฉบับในหน้า
แด่คุณครูด้วยดวงใจ โดย พระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทตตชีโว)
ปัญญาที่ท่านมีอย่างมากมายลึกล้ำ ย่อมทำให้เกิดมีคุณสมบัติ ความน่าเคารพ ความน่าเทิดทูน ความฉลาด
พูด ตักเตือนพร่ำสอน และสามารถนำเรื่องลึกล้ำมาแถลงให้เข้าใจได้
ความบริสุทธิ์ ที่มีประจำอยู่ในหัวใจ ทำให้เกิดความน่ารัก
ความกรุณา แฝงไว้ด้วยความบริสุทธิ์ ย่อมทำให้ผู้นั้นไม่อยากชักนำใครไปในทางเสื่อม
ถึงตอนนี้เราคงตอบได้แล้วว่า ทำไมครูบาอาจารย์บางคน จึงประทับอยู่ในความทรงจำของเรา มาเนิ่นนาน
เต็มที่ และทำไมจึงมีครูบาอาจารย์จำนวนมากถูกลืม ลองตรวจสอบจากคุณสมบัติทั้ง 7 ประการ ดูก็ได้ว่า ท่าน
ขาดข้อไหนไปบ้าง จากคุณธรรมปัญญา บริสุทธิ์ และกรุณา ที่ครูบาอาจารย์แต่ละคน มีมากน้อยต่างกันดัง
กล่าวมาแล้ว ทำให้แต่ละท่านทำงานในหน้าที่ซึ่งแบ่งออกได้ 2 งบ คือ งบแนะกับงบน้ำ ในปริมาณที่ยิ่งหย่อน
ต่างกัน
งบแนะ คือการสอนทั้งด้านวิชาการและคุณธรรม
งบน้ำ คือการสอนสาธิตความรู้ และประพฤติเป็นตัวอย่างที่ดีให้ศิษย์ดู โดยไม่มีคำว่านอกเวลา หรือในเวลา
จากงบทั้งสองนี้เอง โบราณจึงได้แบ่งครูออกเป็น ๓ ประเภท คือ
ประเภทที่ ๑. แนะก็ดีนำก็ดี ท่านยกย่องให้เป็น "ปูชนียบุคคล" เป็นบุคคลที่สมควรได้รับการยกย่องเทิด
ทูน ลูกศิษย์ต้องหมั่นกราบไหว้อยู่เสมอ
ถ้าถามว่า ทำไมต้องกราบไหว้ เพราะได้รับค่าสอนอยู่แล้ว จะไม่เป็นการเอาเปรียบลูกศิษย์หรือ
ตอบว่า ไม่เป็นอย่างนั้น เพราะคนเราต้องกินต้องใช้ เงินเดือนที่ได้รับเป็นค่าตอบแทนสำหรับงบแนะ เป็น
ค่าวิชา จะได้มีกินมีใช้ แต่งบนำคือ ความประพฤติดีที่ท่านทำเป็นตัวอย่าง เนื่องจากท่านทำงบส่วนนี้ด้วยใจ เรา
จึงควรตอบแทนท่านด้วยใจเช่นกันคือ หมั่นกราบไหว้บูชาด้วยความซาบซึ้งในพระคุณ แม้แผ่นดินกลบหน้าก็ยัง
ไม่ลืม
ประเภทที่ ๒. แนะดีแต่น้ำไม่ดี คือเมื่ออยู่ในห้องเรียนก็ตั้งใจสอนดี แต่เวลาอยู่นอกห้องเรียน ความประพฤติ
ของท่านยังถือเป็นตัวอย่างไม่ได้ เวลาสอนก็สอนว่าเหล้าไม่ดี การพนันไม่ดี แต่พอออกนอกเขตโรงเรียน เหล้าก็
ดื่มจนเมาแประ การพนันทุกชนิดช่ำชองหมด
ครูประเภทนี้ท่านเรียกว่า "ลูกจ้างสอนหนังสือ" เพราะธรรมดาลูกจ้างมักจะไม่ทำอะไรให้เต็มกำลังความ
สามารถ ถ้าจะถามว่าจะต้องกราบไหว้ครูบาอาจารย์ประเภทนี้ไหม ก็ต้องตอบว่า โดยหลักการแล้ว ท่านก็เหมือน
ลูกจ้าง แต่โดยมารยาทก็ควรไหว้ เพื่อไม่ให้คนอื่นซึ่งเขาไม่ทราบเบื้องหลัง เข้าใจเราผิด ๆ ว่าเป็นคนกระด้าง
กระเดื่องหรือเป็นคนไม่มีสัมมาคารวะ
ประเภทที่ ๓. แนะก็ไม่ดี นำก็ไม่ดี คือทั้งสอนก็ไม่รู้เรื่องไม่ตั้งใจสอน ไม่เตรียมการสอน ความประพฤติก
เสียหาย เกะกะเกเร ถือเป็นตัวอย่างไม่ได้ ไม่มีแม้แต่ความน่ารักน่าเคารพ
ครูบาอาจารย์ประเภทนี้ โบราณท่านเรียกว่า "โจรปล้นลูกศิษย์" คือปล้นเอาคุณธรรมความดี ที่ครูบาอาจารย์
คนก่อนเขาปลูกฝังเอาไว้ให้ไปจนหมดสิ้น แล้วถ่ายทอดนิสัยเลว ๆ เข้าไปไว้แทนที่ อยู่กับครูประเภทนี้ไม่นาน
ความดีของเราก็จะถูกล้างผลาญจนหมดสิ้น กลับไปถึงบ้าน พ่อแม่อาจจำไม่ได้ เพราะนึกไม่ถึงว่าลูกจะเลวทราม
ลงถึงปานนี้
8-