พ ร ะ ปิ ย ทั ส สี พุ ท ธ เ จ้ า ( ๑ )
ดูก่อนเจ้าลิจฉวี ความปรากฏขึ้นแห่งรัตนะ ๕ หาได้ยากในโลก รัตนะ ๕ คือ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ บุคคลผู้แสดงธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว ๑ บุคคลผู้รู้แจ้งธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วอันผู้อื่นแสดงแล้ว ๑ บุคคลผู้รู้แจ้งธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วอันผู้อื่นแสดงแล้ว ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑ กตัญญูกตเวทีบุคคล ๑ ดูก่อนเจ้าลิจฉวีทั้งหลาย ความปรากฏแห่งรัตนะ ๕ ประการนี้แล หาได้ยากในโลก
การบังเกิดขึ้นของพระรัตนตรัย นำมาซึ่งสันติสุขแก่มวลมนุษยชาติ และสรรพสัตว์ทั้งหลาย เมื่อเราเข้าถึงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระรัตนตรัย ความสุขที่ยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณจะบังเกิดขึ้น เป็นความสุขที่มาพร้อมกับความบริสุทธิ์ที่ทำให้ใจเรามีอานุภาพ เพราะอานุภาพของพระรัตนตรัยนั้นมากมายเกินกว่าที่เราจะคาดคิด แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงพรรณนาคุณของพระรัตนตรัย จนกาลเวลาล่วงไปนับอสงไขยกัป ยังไม่อาจที่จะพรรณนาพระคุณได้หมดสิ้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ปิงคิยานีสูตร ว่า
"ดูก่อนเจ้าลิจฉวี ความปรากฏขึ้นแห่งรัตนะ ๕ หาได้ยากในโลก รัตนะ ๕ คือ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ บุคคลผู้แสดงธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว ๑ บุคคลผู้รู้แจ้งธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วอันผู้อื่นแสดงแล้ว ๑ บุคคลผู้รู้แจ้งธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วอันผู้อื่นแสดงแล้ว ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑ กตัญญูกตเวทีบุคคล ๑ ดูก่อนเจ้าลิจฉวีทั้งหลาย ความปรากฏแห่งรัตนะ ๕ ประการนี้แล หาได้ยากในโลก"
รัตนะ แปลว่าแก้ว เป็นเครื่องยังใจให้ปลื้มปีติ หมายความว่าสิ่งใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ ถ้าหากอำนวยประโยชน์สุขให้แก่สรรพสัตว์ หรือนำความอิ่มอกอิ่มใจและความปีติเบิกบานมาให้ ท่านมักเปรียบสิ่งนั้นเป็นประดุจแก้ว เช่นคนดีก็เรียกว่า ลูกแก้ว พ่อแก้ว แม่แก้ว ถ้าเป็นสัตว์ ก็เป็นช้างแก้ว ม้าแก้ว เป็นต้น หากเป็นวัตถุธาตุที่บริสุทธิ์ก็มีดวงแก้วมณี หรือแก้วสารพัดนึก เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่ถือว่าลํ้าเลิศประเสริฐกว่าบรรดาสิ่งทั้งหลาย จึงได้รับยกย่องว่า เป็นแก้ว
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน ทรงได้รับการเฉลิมพระนามว่า เป็นรัตนะหรือแก้วที่ลํ้าค่าที่สุด เพราะการอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์นั้น เป็นสิ่งที่บังเกิดขึ้นได้ยาก บางยุคบางสมัยไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมาเลย กัปนั้นถือว่าเป็นสุญกัป เป็นกัปที่ว่างเว้นจากพระพุทธเจ้า หมู่สัตว์ต่างดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางความมืด คือ อวิชชา ไม่สามารถนำพาตนให้หลุดพ้นจากความทุกข์ไปได้ ดังนั้น พระพุทธองค์จึงถือเป็นรัตนะที่ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน ผู้รู้จึงได้กล่าวสรรเสริญว่า ยํ กิญฺจิ รตนํ โลเก วิชฺชติ วิวิธํ ปุถุ รตนํ พุทฺธสมํ นตฺถิ ฯ รัตนะอย่างใดอย่างหนึ่งที่มีอยู่ในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นรัตนะที่หยาบหรือละเอียด รัตนะทั้งหมดที่จะเสมอด้วยรัตนะ คือ พระพุทธเจ้าไม่มีเลย
หลวงพ่อมีตัวอย่างเรื่องการบังเกิดขึ้นของรัตนะ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปิยทัสสี มาให้ทุกท่านได้ศึกษาเรียนรู้กันว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆ นอกจากพระสมณโคดมพุทธเจ้าของเรา แต่ละพระองค์ทรงอุบัติขึ้นมาในโลก มีการประสูติ ตรัสรู้ การเสด็จออกผนวช การแสดงธรรมและนิพพาน ด้วยอาการที่เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
* ในยุคของพระปิยทัสสีพุทธเจ้ามีการประชุมพระสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง พระสาวก ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ ประชุมกันเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ จำนวน ๙๐,๐๐๐ โกฏิ ครั้งที่ ๓ จำนวน ๘๐,๐๐๐ โกฏิ ทรงแสดงปฐมเทศนาซึ่งถือเป็นอภิสมัยครั้งที่ ๑ มีมนุษย์และเทวดาได้บรรลุธรรมาภิสมัยมากถึง ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ ครั้งที่ ๒ เทวดาและมนุษย์ได้บรรลุธรรมถึง ๙๐,๐๐๐ โกฏิ ครั้งที่ ๓ หมู่สัตว์ได้บรรลุธรรม ๘๐,๐๐๐ โกฏิ ซึ่งมีผู้บรรลุธรรมมากกว่าในยุคของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรามาก แสดงว่าถ้าสร้างบารมีมาไม่เท่ากัน แม้จะได้บรรลุอภิสัมมาสัมโพธิญาณ มีสัพพัญญุตญาณเหมือนกัน แต่กำลังบารมีที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปสู่ฝั่งนิพพานนั้นจะต่างกันมาก นอกจากนี้ ยังมีความแตกต่างกันอีกมากมาย ซึ่งต้องค่อยๆ ศึกษากันไปตามลำดับ
ย้อนหลังไปในที่สุดแห่ง ๑,๘๐๐ กัปจากภัทรกัปนี้ มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ๓ พระองค์ด้วยกัน คือ พระปิยทัสสี พระอัตถทัสสีและพระธัมมทัสสี ในกัปนั้นท่านเรียกว่า วรกัป ในสารกัปจะมีพระพุทธเจ้าเพียง ๑ พระองค์อุบัติขึ้น ในมัณฑกัปมีพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ ในวรกัปมีพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ ในสารมัณฑกัป มีพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ และในภัทรกัปมีพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ส่วนพระพุทธเจ้ามากกว่านั้นไม่มี ยุคสมัยของเราถือว่าอยู่ในยุคที่เรียกว่า ภัทรกัป เพราะมีพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ตั้งแต่พระกกุสันธพุทธเจ้า พระโกนาคมนพุทธเจ้า พระกัสสปพุทธเจ้า พระสมณโคดมพุทธเจ้า และที่จะเสด็จอุบัติขึ้นอีก ๑ พระองค์ คือ พระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า
ในยุควรกัปที่มีพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าปิยทัสสีทรงบำเพ็ญบารมีชนิดวิริยาธิกะ จึงทรงมีบุญญาบารมีมาก ภพชาติสุดท้ายพระองค์ได้ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางจันทาเทวี อัครมเหสีของพระเจ้าสุทัตต ในกรุงสุธัญญวดี ครั้นครบกำหนดทศมาส พระองค์ทรงประสูติ ณ วรุณราชอุทยาน ในวันเฉลิมพระนาม พระชนกชนนีทรงเฉลิมพระนาม ว่า ปิยทัสสี เพราะเห็นปาฏิหาริย์วิเศษอันเป็นที่รักของโลก ครั้นเจริญวัย พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่ ๙,๐๐๐ ปี ทรงมีปราสาท ๓ หลังชื่อว่า สุนิมมละ วิมละ และคิริพรหา มีพระสนมนารี ๓๓,๐๐๐ นาง มีพระนางวิมลามหาเทวีเป็นประมุข
เมื่อพระโอรสพระนามว่ากัญจนเวฬะทรงประสูติ พระบรมโพธิสัตว์ทรงเห็นบุพนิมิต ๔ ประการ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตายและนักบวช ด้วยพระปัญญาบารมีที่สั่งสมมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ทำให้พระองค์ทรงพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงของโลกและชีวิตตามความเป็นจริง จึงตัดสินพระทัยออกแสวงหาโมกขธรรม พระโพธิสัตว์ทรงออกมหาภิเนษกรมณ์ด้วยรถเทียมม้า มีบุรุษ ๑ โกฏิออกบวชตาม
พระมหาบุรุษพร้อมด้วยนักบวช ๑ โกฏิ ทรงบำเพ็ญเพียร ๖ เดือน ในวันวิสาขบูรณมี เมื่อได้เสวยข้าวมธุปายาสที่ธิดาของวสภพราหมณ์ บ้านวรุณพราหมณ์นำมาถวาย ทรงยับยั้งพักผ่อนในเวลากลางวันที่ป่าสาลวัน รับหญ้า ๘ กำที่สุชาตะอาชีวกถวาย จากนั้นเสด็จเข้าไปนั่งใต้โพธิพฤกษ์ชื่อว่า กกุธะหรือต้นกุ่ม คำว่าต้นโพธิพฤกษ์นี้เป็นเพียงชื่อเรียก หรือสมัญญานามของต้นไม้แห่งการตรัสรู้ธรรมเท่านั้น
ต่อมาพระโพธิสัตว์ทรงลาดหญ้ากว้าง ๕๓ ศอก ประทับนั่งขัดสมาธิ(Meditation)คู้บัลลังก์ ทรงแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณในค่ำคืนนั้นเอง อาการที่ทรงแทงตลอดในธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะเหมือนกันหมด คือ ตั้งแต่บรรลุ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณและอาสวักขยญาณ และทรงเปล่งอุทานเหมือนกัน ทรงยับยั้งอยู่ที่โพธิบัลลังก์ ๗ สัปดาห์ ในแต่ละสัปดาห์ทรงพิจารณาธรรม มีปฏิจจสมุปบาทเป็นต้น ทรงเตรียมหัวข้อธรรมที่จะสั่งสอนเหล่าเวไนยสัตว์ เสด็จจงกรมที่รัตนจงกรมเจดีย์ พิจารณาต้นโพธิพฤกษ์ที่เรียกว่า อนิมิสสเจดีย์ ซึ่งจะทรงทำเช่นนี้คล้ายๆ กันทุกพระองค์
รายละเอียดบางอย่างที่เราเคยได้ยินได้ฟังจากพุทธประวัติ มาบ้างแล้ว หลวงพ่อจะไม่นำมากล่าวซํ้าอีก ส่วนพระองค์จะแสดงปฐมเทศนาครั้งแรกที่ไหน มีใครได้บรรลุธรรมาภิสมัยกันบ้าง และการบำเพ็ญพุทธกิจจะดำเนินไปอย่างไร หลวงพ่อจะนำมาเล่าในตอนต่อไป ให้ทุกท่านหมั่นตรึกระลึกถึงคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไร ขอให้มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ เพราะผู้รู้กล่าวว่า "ชนเหล่าใดในโลกนี้ เมื่อได้ความเป็นมนุษย์แล้ว มีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ในพระธรรมและในพระสงฆ์ เป็นผู้มีความเคารพอย่างแรงกล้า ชนเหล่านั้นย่อมไปบังเกิดในสุคติโลกสวรรค์อย่างแน่นอน"
ดังนั้น ในทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะเดิน จะยืน จะนั่ง จะนอน ให้ใจอยู่ในกลางองค์พระแก้วขาวใสในกลางกาย ตื่นขึ้นมายามเช้า ให้นึกถึงพระแก้วใสภายในตัวก่อน ขณะทำภารกิจก็ให้นึกถึงองค์พระ นึกว่าเราเป็นพระ พระเป็นเรา ถ้าทำเช่นนี้เป็นประจำสม่ำเสมอ จนเกิดความคุ้นเคยเป็นอัตโนมัติ ไม่ช้าเราจะได้เข้าถึง พระธรรมกายอย่างแน่นอน* มก. วงศ์พระปิยทัสสีพุทธเจ้า เล่ม ๗๓ หน้า ๕๐๙
http://goo.gl/lI0GZ