ศาสดาเอกของโลก (4)

สติของชนเหล่าใดไปแล้วในพระพุทธเจ้าเป็นนิตย์ ทั้งกลางวันและกลางคืน ชนเหล่านั้นชื่อว่าเป็นสาวกของพระโคดม ตื่นอยู่ ตื่นดีแล้วในกาลทุกเมื่อ... https://dmc.tv/a6699

บทความธรรมะ Dhamma Articles > ธรรมะเพื่อประชาชน
[ 28 พ.ค. 2553 ] - [ ผู้อ่าน : 18280 ]
ศ า ส ด า เ อ ก ข อ ง โ ล ก
( ๔ )



 
    สติของชนเหล่าใดไปแล้วในพระพุทธเจ้าเป็นนิตย์   ทั้งกลางวันและกลางคืน ชนเหล่านั้นชื่อว่าเป็นสาวกของพระโคดม ตื่นอยู่ ตื่นดีแล้วในกาลทุกเมื่อ

      ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน มนุษยชาติล้วนปรารถนาให้โลกมีสันติสุขที่แท้จริง แต่ไม่มีใครรู้ว่าสันติสุขที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ใด จะเข้าถึงได้อย่างไร จนกระทั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบว่า การที่จะทำให้เกิดสันติสุขที่แท้จริงนั้น มนุษย์ทุกคนจะต้องปฏิบัติให้เข้าถึงสันติสุขภายใน คือ เข้าถึงพระธรรมกาย อันเป็นต้นแหล่งกำเนิดแห่งความสุขที่แท้จริง และเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะมีความแตกต่างกันโดยเชื้อชาติ ศาสนา หรือเผ่าพันธุ์ หากได้ลงมือปฏิบัติอย่างถูกวิธี ย่อมสามารถ เข้าถึงพระธรรมกายกันทุกคน
 
     พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อังคุตตรนิกาย ทุกนิบาต ว่า
 
    " สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ     สทา โคตมสาวกา
      เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ    นิจฺจํ พุทฺธคตา สติ
      สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ     สทา โคตมสาวกา
      เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ     นิจฺจํ ธมฺมคตา สติ
      สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ     สทา โคตมสาวกา
      เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ     นิจฺจํ สงฺฆคตา สติ
 
    สติของชนเหล่าใดไปแล้วในพระพุทธเจ้าเป็นนิตย์  ทั้งกลางวันและกลางคืน ชนเหล่านั้นชื่อว่าเป็นสาวกของพระโคดม ตื่นอยู่ ตื่นดีแล้วในกาลทุกเมื่อ
 
     สติของชนเหล่าใดไปแล้วในพระธรรมเป็นนิตย์  ทั้งกลางวันและกลางคืน ชนเหล่านั้นชื่อว่าเป็นสาวกของพระโคดม ตื่นอยู่ ตื่นดีแล้วในกาลทุกเมื่อ
 
     สติของชนเหล่าใดไปแล้วในพระสงฆ์เป็นนิตย์  ทั้งกลางวันและกลางคืน ชนเหล่านั้นชื่อว่าเป็นสาวกของพระโคดม ตื่นอยู่ ตื่นดีแล้วในกาลทุกเมื่อ "
 
    จิตของมนุษย์ส่วนใหญ่มักแล่นไปในอารมณ์ที่เป็นที่รัก น่าใคร่ น่าปรารถนา น่าพอใจ บางครั้งก็ไปยึดติดในเรื่องราวที่ไม่เป็นสาระแก่นสาร นำความทุกข์ระทมมาสู่ตนเอง แต่การส่งใจไปในพระรัตนตรัย คือ ตรึกระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าผู้เลิศ ส่งใจไปในพระธรรมคำสอนอันบริสุทธิ์ ที่พระบรมศาสดาได้ทรงประทานไว้ และส่งใจไปในพระอริยสงฆ์สาวกผู้ทรงจำคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วได้สืบทอดพระศาสนาให้ดำรงอยู่ เพื่อประโยชน์สุขของมวลมนุษยชาติ เมื่อนึกถึงรัตนะทั้งสามนี้แล้ว จะทำให้ใจของเราสะอาดบริสุทธิ์ ปรารถนาความหลุดพ้นตามพระพุทธองค์ไปด้วย เพราะเมื่อใจน้อมไปในวัตถุที่เลิศ ส่งใจไปในรัตนะอันประเสริฐ ย่อมทำให้เกิดในสุคติโลกสวรรค์ เข้าถึงความเป็นผู้ประเสริฐในทุกสถาน และเมื่อบารมีเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ ย่อมสามารถทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานไปสู่ที่สุดแห่งธรรม
 
    * วันนี้หลวงพ่อจะได้นำพวกเราย้อนระลึกนึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ในสมัยที่พระองค์เสด็จลงมาอุบัติเพื่อตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นศาสดาเอกของโลก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้นพระองค์สั่งสมบุญบารมีมามาก อย่างน้อยก็ ๔ อสงไขยแสนมหากัป เมื่อลงจากเทวโลก พระองค์ได้มาบังเกิดในตระกูลของกษัตริย์ ถ้าพูดถึงชาติวุฒิ ถือว่าพระองค์เกิดในตระกูลกษัตริย์ที่มนุษย์ทั้งโลกยกย่อง

     เมื่ออยู่ในครรภ์พระพุทธมารดา พระองค์ไม่ได้ทำความทุกข์ทรมานให้เกิดขึ้นกับพระพุทธมารดาเลย และใจของพระพุทธมารดานั้นมีแต่กุศลธรรมเกิดขึ้นตลอดเวลา จะหาเด็กที่อยู่ในครรภ์มารดาแล้วทำให้มารดาเกิดกุศลจิตเช่นนี้ และมีความคิดเป็นกุศล ไม่ทุกข์ทรมานเกี่ยวกับเด็กที่อยู่ในครรภ์    หาไม่ได้ง่ายนักเพราะพระองค์สงบนิ่งตลอด แม้ประสูติออกมา ก็แตกต่างจากการประสูติหรือการเกิดของทารกทั้งหลาย คือ พระพุทธมารดาประทับยืนขณะทรงมีพระประสูติกาล นี่เป็นความอัศจรรย์และเป็นความจริงที่เกิดขึ้นมาแล้ว
 
     ทันทีที่ประสูติ พระองค์ทรงดำเนินได้ถึง ๗ ก้าว และมี ดอกบัวผุดขึ้นรองรับ เป็นเรื่องจริงที่พิสูจน์ได้ด้วยวิชชาธรรมกาย อีกทั้งพระพุทธองค์ยังได้ลักษณะมหาบุรุษที่ใครๆ ยากจะได้อย่างพระองค์ เกิดมาก็พูดได้ ที่เกิดแล้วพูดได้ก็มีมาหลายภพหลายชาติ ไม่ใช่เฉพาะชาติสุดท้ายเท่านั้น เพราะเมื่อบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว ความอัศจรรย์ที่เหนือธรรมชาติเหนือกฎเกณฑ์ทั้งผองย่อมบังเกิดขึ้น พระองค์ทรงเปล่งวาจาได้ วาจาก็ไม่เหมือนกับมนุษย์ธรรมดาพูด ที่เรียกว่าอาสภิวาจา คือ เปล่งวาจาด้วยความองอาจว่า "อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐในโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา"
 
     พระวาจาของพระองค์จึงเป็นวาจาที่ไม่มีใครเหมือน เป็นวาจาที่ยิ่งใหญ่ เป็นนิมิตหมายแห่งการบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และสันติสุขอันแท้จริงของมวลมนุษยชาติ ชีวิตในปฐมวัยของพระองค์ก็ทรงโดดเด่น คือ มีสติปัญญาเฉียบแหลม ฉลาดเฉลียวทรงจำแม่นยำ สามารถเรียนจบศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการ เพียงแค่ ๗ วัน ตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ กับครูที่มีความรู้สูงที่สุดในยุคนั้น ภูมิปัญญาของพระองค์มีขนาดนี้ เด็ก ๗ ขวบเรียนรู้ศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการ หรือ ๑๘ ปริญญา โดยใช้เวลาเพียง ๗ วัน ไม่ใช่ธรรมดาเลย
 
     นี่เป็นความอัศจรรย์ ที่ท่านเรียนรู้ได้ทะลุเช่นนี้ เพราะท่านเรียนมานับภพนับชาติไม่ถ้วนจนกระทั่งแตกฉาน ทันทีที่ครูบาอาจารย์อ้าปากก็แทงตลอดหมด เข้าใจหมด ในใจของท่านมีแต่ความคิดที่แตกต่างจากมวลมนุษย์ทั้งหลาย คือ มนุษย์ส่วนใหญ่มองไม่เห็นความทุกข์ เวลาประสบทุกข์นานๆ ก็เคยชิน เมื่อเคยชินก็ไม่มีความคิดที่จะหาหนทางที่จะออกจากความทุกข์นั้น อีกทั้งไม่รู้ว่า อะไรเป็นต้นเหตุ ไม่ให้มีความคิดที่จะออกจากความทุกข์นั้น อยู่กันไปวันๆ ด้วยความเคยชินกับความทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
 
     พระองค์ไม่ใช่เช่นนั้น เมื่อเสด็จประพาสอุทยานได้ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย ครั้นเห็นแล้วทรงได้ข้อคิดสะกิดใจ คิดอยากจะแสวงหาหนทางแห่งความพ้นทุกข์ที่แท้จริง อันที่จริงภาพเหล่านี้ ล้วนเป็นภาพที่มนุษย์ทั้งหลายต่างเห็นกันอยู่เป็นปกติทุกวัน แต่เห็นแล้วกลับเฉยๆ เห็นแล้วไม่คิดต่อ จึงวนกันอยู่เช่นนั้น แต่พระองค์ทรงคิด คือ ทรงคิดหาหนทางที่จะออกจากความทุกข์ และมีความเชื่อมั่นว่า หนทางที่จะพ้นจากทุกข์นั้นต้องมีอยู่จริง
 
     จนกระทั่งความคิดของพระองค์สุกงอม เห็นว่าการบรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง สามารถที่จะช่วยให้หลุดพ้นจากทุกข์ได้จริง ดูเหมือนว่าเบญจกามคุณต่างๆ ที่ชาวโลกยอมสยบติดอยู่นั้น ไม่สามารถไปผูกมัดกักขังท่านได้ ครองเรือนไปก็คิดเช่นนี้ไปด้วย แม้เพียงได้ยินคำกล่าวว่า สิทธัตถราชกุมารนี้เป็นโอรสและเป็นพระสวามีของใคร คนเหล่านั้นจะต้องดับเย็นอย่างแน่นอน พระองค์ได้ฟังคำว่า นิพพุตะ ที่แปลว่า ดับ ก็รู้สึกถูกอกถูกใจ ถึงกับถอดแหวนอันมีค่ามอบให้ผู้ที่กล่าวตอนนั้นทีเดียว
 
     ในที่สุดถึงวันที่บารมีเต็มเปี่ยม เมื่อมีพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา มีเหตุทำให้พระองค์ไม่ยินดีที่จะครองราชสมบัติต่อไป คืนหนึ่ง พระองค์ทอดพระเนตรเห็นสตรีนักฟ้อนทั้งหลายกำลังนอนหลับทับเครื่องดนตรีอยู่ บางพวกมีน้ำลายไหล บางพวกกัดฟันเสียงดัง บางพวกนอนกรนบ้าง นอนอ้าปากบ้าง เสื้อผ้าที่สวมใส่หลุดลุ่ย เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น ทรงมีพระหฤทัยเบื่อหน่ายในกามทั้งหลาย แม้พระราชวังที่ตกแต่งประดับประดาไว้ประดุจภพของท้าวสักกะ ก็ปรากฏเหมือนป่าช้าผีดิบ ซึ่งเต็มด้วยซากศพนานาชนิด ภพทั้ง ๓ ปรากฏทันทีเหมือนเรือนถูกไฟไหม้ จึงเปล่งอุทานว่า "วุ่นวายจริงหนอ ขัดข้องจริงหนอ" พระทัยของพระองค์ทรงน้อมไปเพื่อบรรพชา
 
     คืนนั้น พระองค์ตัดสินพระทัยเด็ดเดี่ยว เสด็จขึ้นม้ากัณฐกะออกจากพระราชวังกลางดึกพร้อมกับนายฉันนะ ปราสาท ๓ ฤดูที่พรั่งพร้อมด้วยนางสนมกำนัล ทรัพย์สมบัติภายนอกต่างๆ ทรงสลัดทิ้งหมด แม้ในระหว่างทางจะมีพญามารมาขวางไว้ เอาสมบัติพระเจ้าจักรพรรดิมาล่อว่า "อีก ๗ วัน สมบัติจักรพรรดิจะบังเกิดขึ้นเพื่อพระองค์ ขอให้พระองค์กลับไปครองราชสมบัติเถิด แล้วจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิครองโลก" พระองค์กลับปฏิเสธไม่ยินดีในสมบัติเหล่านั้น เพราะทรงเคยเสวยสมบัติเหล่านี้ มานับภพนับชาติไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นอะไร พระองค์เป็นมาหมด ทั้งเป็นพระเจ้าจักรพรรดิจอมราชันผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองมนุษย์ หรือเป็นจอมเทพในสวรรค์ชั้นฟ้า พระองค์ล้วนเป็นมาหมดแล้ว
 
     พระองค์ทรงมีพระหฤทัยเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นถึงเพียงนี้ ไม่ยินดีในสมบัตินอกตัว ทรงปลงผมและหนวดที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา เนื่องจากบุญในตัวของพระองค์มีมาก พรหมจึงได้นำเครื่องอัฐบริขารมาถวายพระองค์ ตั้งแต่นั้นมาทรงครองเพศเป็นนักบวช ศึกษาธรรมะกับครูบาอาจารย์ต่างๆ ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ทั้งอุทกดาบสและอาฬารดาบส พระองค์ทรงยอมน้อมตนเข้าไปเป็นศิษย์ จนได้อภิญญาสมาบัติ จากนั้นทรงปลีกวิเวกมาแสวงหาหนทางพ้นทุกข์ด้วยพระองค์เอง บำเพ็ญเพียรอยู่นานถึง ๖ ปีเต็ม
 
     ในสมัยนั้น ไม่ว่าจะมีวิธีการใดก็ตาม ตั้งแต่การทรมานตัวเอง โดยมีความหวังว่า จะต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือพระผู้เป็นเจ้าที่มองไม่เห็น บันดาลให้พบหนทางหรืออวยพรให้เป็นผู้มีอานุภาพเหนือมนุษย์ เหนือธรรมชาติทั้งหลาย พระองค์ล้วนทรงลองมาแล้ว ในที่สุดทรงพบหนทางไปสู่อายตนนิพพาน ตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หนทางที่พระองค์พบนั้นเป็นมัชฌิมาปฏิทา คือ หนทางสายกลางที่มีอยู่ในตัวของทุกๆ คน พระองค์เป็นผู้นำแสงสว่างแห่งธรรมให้ปรากฏขึ้นมาบนโลก ขจัดความมืดมิด คือ อวิชชา ให้หมดสิ้นไปอีกครั้งหนึ่ง พวกเราทั้งหลายไม่ควรศึกษาพุทธประวัติเพียงอย่างเดียว ต้องลงมือปฏิบัติตามปฏิปทาที่พระองค์ทรงประทานไว้ด้วย จึงจะชื่อว่าเป็นพุทธศาสนิกชนที่แท้จริงผู้เข้าถึงพระธรรมกาย มีพระ-รัตนตรัยเป็นสรณะกันทุกคน 
 
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
 
* พุทธประวัติ เล่ม ๑ (หลักสูตรนักธรรมตรี)
 
 

http://goo.gl/qpWsd


พิมพ์บทความนี้



บทความอื่นๆ ในหมวด

      มงคลที่ ๑๕ บำเพ็ญทาน - อานิสงส์ทำบุญทอดกฐิน
      หลุดพ้นจากสังสารวัฏ
      โสฬสญาณ
      เบื้องต้นเบื้องปลายไม่ปรากฏ
      พระอรหันต์รู้ได้ยาก
      ความวิเศษสุดของพระพุทธศาสนา
      พระอรหันต์มีจริง
      พระอริยเจ้า
      ผลแห่งการชวนคนมารู้จักพระรัตนตรัย
      คนดีที่โลกต้องการ
      นักสร้างบารมีพันธุ์อาชาไนย
      เวสารัชชธรรม ๔
      ต้นแบบแห่งความดี




   ค้นหา บทความธรรม    

  ฝันในฝันวิทยา
  สารพันธรรมะ
  ปกิณกธรรม
  ผลการปฏิบัติธรรม
  โครงการฟื้นฟูศีลธรรมโลก
  ธรรมะบันเทิง
  ข่าว
  ข่าวประชาสัมพันธ์
  ข่าวบุญฝากประกาศ
  DMC NEWS
  ข่าวรอบโลก
  กิจกรรมเว็บ dmc.tv
  Scoop - Review DMC
  เรื่องเด่นทันเหตุการณ์
  Review รายการ DMC
  หนังสือธรรมะ
  ธรรมะเพื่อประชาชน
  ที่นี่มีคำตอบ
  หลวงพ่อตอบปัญหา
  อยู่ในบุญ
  สุขภาพนักสร้างบารมี
  นิทานชาดก
  CaseStudy กฎแห่งกรรม
  กฎแห่งกรรม
  เรื่องราวชีวิต
  เหลือเชื่อแต่จริง
  อุทาหรณ์สอนใจ
  ฮอตฮิต...ติดดาว
  วิบากกรรม...ทำให้ทุกข์
  บุญเกื้อหนุน
  ปรโลกนิวส์
  ธรรมะและสมาธิ
  พุทธประวัติ
  สมาธิ
  ผลการปฏิบัติธรรมนานาชาติ
  ทศชาติชาดก
  พุทธประวัติและวันสำคัญ
  บทสวดมนต์
  ศัพท์ธรรมะ ภาษาอังกฤษ
  มหาปูชนียาจารย์
  อานุภาพมหาปูชนียาจารย์
  ประวัติ
  กิจกรรม
  ธุดงค์สถาปนาเส้นทางมหาปูชนียาจารย์
  About DMC
  เกี่ยวกับ DMC
  DMC GUIDE
  มือถือ Mobile
  คู่มือเว็บ www.dmc.tv
  มาวัดพระธรรมกาย
   ค้นหา บทความธรรม    

ธรรมะที่เกี่ยวข้อง - Related