ส ล ะ ชี วิ ต เ ป็ น ท า น
( ป ร มั ต ถ บ า ร มี )
หากว่าปราชญ์พึงเห็นแก่สุขอันไพบูลย์ เพราะยอมเสียสละสุขส่วนน้อย เมื่อผู้มีปัญญาเล็งเห็นสุขอันไพบูลย์แล้ว ก็ควรสละสุขส่วนน้อยเสีย
มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาความสุข ความอบอุ่นใจ และความปลอดภัยในชีวิต ทุกคนพยายามเสาะแสวงหาที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง แต่หลายชีวิตก็ยังไม่ทราบว่า ที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงนั้นคือสิ่งใด อยู่ที่ตรงไหน จะเข้าถึงได้ด้วยวิธีการใด จึงแสวงหากันวุ่นวาย และก็เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก แต่ถ้าหากทุกคนในโลกได้รู้จักที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด ว่าคือพระรัตนตรัย และมีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติธรรม จนกระทั่งกาย วาจา ใจของทุกๆ คนสะอาด บริสุทธิ์ผ่องใส ตั้งมั่นอยู่ในกลางกาย เต็มเปี่ยมไปด้วยสติ และปัญญาบริสุทธิ์ เมื่อทำได้เช่นนี้ ชีวิตของทุกคนก็จะเจริญรุ่งเรือง จะปลอดภัยทั้งโลกนี้ และโลกหน้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบทว่า
" มตฺตาสุขปริจฺจาคา ปสฺเส เจ วิปุลํ สุขํ
จเช มตฺตาสุขํ ธีโร สมฺปสฺสํ วิปุลํ สุขํ
หากว่าปราชญ์พึงเห็นแก่สุขอันไพบูลย์ เพราะยอมเสียสละสุขส่วนน้อย เมื่อผู้มีปัญญาเล็งเห็นสุขอันไพบูลย์แล้ว ก็ควรสละสุขส่วนน้อยเสีย "
สรรพสัตว์ทั้งหลายต่างปรารถนาความสุขด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครต้องการความทุกข์ ความทุกข์ที่เกิดจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย เป็นสิ่งที่ผู้มีปัญญาปรารถนาจะหลุดพ้น เมื่อมองเห็นวิธีการที่ทำให้เข้าถึงความสุขที่ไม่มีความทุกข์เจือปนแล้ว ก็จะยอมเสียสละความสุขอันเล็กน้อยนั้นเพื่อความสุขที่ยิ่งใหญ่ สุขที่เกิดจากการเข้าถึงธรรม ซึ่งเป็นสุขอันยิ่งใหญ่ จะเข้าถึงความสุขชนิดนี้ได้ต้องรู้จักสละปล่อยวาง ดังนั้นการสละออกจึงเป็นเบื้องต้นที่จะทำให้เรารู้จักคำว่า ความสุข
นอกจากการทำกาย วาจา ใจให้สะอาดบริสุทธิ์หยุดนิ่งแล้ว การให้ก็เป็นความสุขอีกอย่างหนึ่ง ของผู้ที่เอาชนะความตระหนี่ในใจได้ เพราะความตระหนี่จะปล้นสมบัติจากเราไป การสละออกหรือการให้ จึงเป็นวิธีเรียกสมบัติที่ดีอีกวิธีหนึ่ง บัณฑิตในกาลก่อนท่านยอมเสียสละทรัพย์สมบัติทุกอย่างที่มี เมื่อสละออกไปแล้วก็ไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักเบื่อ ยังมีความปรารถนาที่จะบริจาคทานให้ยิ่งๆ ขึ้นไป แม้ร่างกายก็สละให้เป็นทานได้ โดยไม่ได้คำนึงถึงความเจ็บปวดทรมาน หรือสละแม้กระทั่งชีวิตก็ตาม มุ่งแต่จะทำความปรารถนาที่ได้ตั้งใจไว้ให้สำเร็จอย่างเดียว
* เหมือนในสมัยอดีตมีพระราชาทรงพระนามว่า สิริจุฑามณี ทรงครองราชย์ในเมืองพาราณสี มีอัครมเหสีพระนามว่า ปทุมวดี พระนางมีสิริโฉมงดงามผ่องใส ด้วยอำนาจบุญบารมีที่ได้เคยสั่งสมมาอย่างดีแล้วในชาติปางก่อน เมื่อมาในชาตินี้จึงทำให้เพียบพร้อมไปด้วยสมบัติทุกอย่าง พระนางได้ให้กำเนิดพระโอรสพระองค์หนึ่งพระนามว่า จันทกุมาร
ในสมัยนั้น พระราชาทรงครองราชสมบัติโดยธรรม ได้รับสั่งให้สร้างโรงทานถึง ๖ แห่ง คือ ที่ประตูพระนครทั้ง ๔ ทิศ ที่กลางพระนคร ๑ แห่ง และที่ประตูพระราชวังอีก ๑ แห่ง ทรงสละพระราชทรัพย์วันละ ๖ แสน เพื่อบำเพ็ญมหาทานบารมีอย่างนี้ทุกๆ วัน และทรงบริจาคทานแก่มหาชนด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เองอยู่เสมอ แล้วยังทรงประทานโอวาทแก่มหาชนทั้งเช้าและเย็นว่า "ท่านผู้เจริญทั้งหลาย พวกท่านอย่าได้ประมาทเลย จงหมั่นให้ทาน รักษาศีล และอุโบสถเถิด" เราจะสังเกตว่าผู้นำในสมัยก่อน เขาปกครองกันอย่างนี้ คือ เป็นทั้งผู้นำประเทศชาติบริหารบ้านเมือง และเป็นผู้นำในการสั่งสมบุญ
วันหนึ่ง พระองค์เสด็จลุกขึ้นจากที่บรรทมในเวลาใกล้รุ่ง ได้นั่งขัดสมาธิ(Meditation)เจริญภาวนา แล้วแผ่เมตตาจิตไปสู่สรรพชีวิต ทั้งหลาย ดำริว่า ทรัพย์ทั้งหลายที่เราได้บริจาคแก่มหาชน ทำให้เรายินดีได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น บัดนี้เราประสงค์จะบริจาคอวัยวะที่เรายังไม่เคยทำเลย อย่างไรเสีย วันนี้ขอให้มีผู้มีบุญมาขออวัยวะจากเราด้วยเถิด ไม่ว่าจะเป็นดวงตา ดวงใจ เลือดเนื้อ หรือแม้กระทั่งชีวิต เราก็จะให้สิ่งนั้นแก่เขาโดยไม่ลังเลเลย เราให้ร่างกายที่รักนี้เพื่อสิ่งที่รักยิ่งกว่า คือการหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะเพื่อให้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ
เมื่อพระราชาดำริเช่นนี้ แผ่นดินใหญ่หนาถึง ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์ ก็สั่นสะเทือน ทะเลโหมกระหน่ำซัดคลื่น และภูเขาสิเนรุก็โอนเอน ครั้นแผ่นดินหวั่นไหว มหาเมฆก็คำรามลั่น ฝนที่มิใช่ฤดูกาลก็ตกลงมา สายฟ้าแล่บแปลบปลาบ ฟ้าผ่าฟ้าร้อง เหล่าเทวา พรหม อรูปพรหมต่างอนุโมทนาสาธุการลั่นโลกธาตุ เกิดโกลาหลกันทีเดียว เพราะผู้มีบุญบารมีปรารถนาจะสร้างบารมีชนิดที่ทำได้ยากในโลก ท้าวสักกะเมื่อทรงทราบความปรารถนาเช่นนั้น ก็ได้เสด็จลงมาจากเทวโลก เพื่อทำความปรารถนาของพระบรมโพธิสัตว์ให้สำเร็จ
ท้าวสักกะจึงทรงเนรมิตกายให้เป็นพราหมณ์ที่มีสรีระครึ่งซีก เดินถือไม้เท้าเข้าไปเฝ้าพระราชา ซึ่งขณะนั้นพระบรมโพธิสัตว์ กำลังบริจาคทานอยู่ที่หน้าประตูพระราชวังของพระองค์ พราหมณ์ซึ่งมีกายครึ่งเดียวได้เดินเข้าไปใกล้พระโพธิสัตว์ เหยียดแขนซ้ายออกแล้วกล่าวว่า "ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์แก่เฒ่าไม่มีที่พึ่งอื่น มีเพียงกายครึ่งซีกซ้ายเท่านั้น มาที่นี่ก็เพื่อมาขอกายอีกครึ่งซีกด้านขวา ขอพระองค์โปรดพระราชทานกายซีกขวาด้วยเถิด"
พระโพธิสัตว์ได้สดับดังนั้น ก็ดีใจที่จะได้ทำในสิ่งที่ปรารถนา ท่านไม่นึกเสียดายชีวิตร่างกาย มีแต่ความปลาบปลื้มยินดีปีติซาบซ่านที่จะได้บริจาคมหาทานในครั้งนี้ให้สำเร็จสมปรารถนา ราวกับจะได้บรรลุเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าในวันนี้ทีเดียว ทรงหลั่งน้ำทักษิโณทกลงที่มือของพราหมณ์ เมื่อจะพระราชทานกายซีกขวา ทรงบำเพ็ญสัจจบารมีโดยอธิษฐานว่า ข้าพเจ้าได้ตั้งใจที่จะสร้างมหาทานบารมีในครั้งนี้ เพื่อการได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ด้วยสัจจวาจานี้ ขอให้เลื่อยจงบังเกิดขึ้นด้วยเถิด
พอสิ้นคำอธิษฐาน ยักษ์ ๒ ตน ได้ถือเลื่อยอันคมกริบแหวกแผ่นดินผุดขึ้นมาเบื้องหน้าของพระองค์ เมื่อมหาชนเห็นยักษ์ก็ตกใจกลัวพากันวิ่งหนีไปหมด พระโพธิสัตว์เมื่อเห็นดังนั้น ก็มิได้สะพรึงกลัวเลยแม้แต่น้อย ทรงหยิบเลื่อยขึ้นมาแล้วตั้งจิตอธิษฐานเป็นปรมัตถบารมี เหล่าเทวดาทั้งหลายต่างก็เปล่งอนุโมทนาสาธุการดังลั่นไปทุกชั้นฟ้า เสียงสาธุการดังถึงพันครั้ง แล้วพระโพธิสัตว์ก็บอกให้ยักษ์เลื่อยตั้งแต่ศีรษะลงมา แบ่งกายให้เป็น ๒ ซีก ยักษ์ทั้งสองทำตามพระดำรัสนั้น พระราชาทรงได้รับทุกขเวทนายิ่งนัก แต่ก็สามารถข่มไว้ได้ด้วยมหาปีติ เมื่อนึกถึงการสร้างมหาทานบารมีของพระองค์ที่ทำได้ยากยิ่ง
พระอินทร์ทรงชื่นชมอนุโมทนาในมหาทานของพระราชา แล้วดำริว่า บัดนี้เราไม่ควรรอช้า ควรรีบคืนสรีระครึ่งซีกนี้แก่พระราชา จึงบันดาลด้วยเทวานุภาพ เชื่อมสรีระของพระราชาให้กลับเข้าดังเดิม ประพรมด้วยน้ำอมฤตที่หอมด้วยกลิ่นทิพย์ แล้วได้ตรัสบอกความจริงว่า ตนคือท้าวสักกเทวราช จะมาทดลอง พระโพธิสัตว์เท่านั้น พระโพธิสัตว์เมื่อกลับได้ชีวิตคืนมา พระองค์ก็ยิ่งสร้างบุญกุศลให้ยิ่งๆ ขึ้นไป และได้ประทานโอวาทแก่มหาชนในการสร้างบุญบารมีให้เต็มที่ไม่ให้ประมาทในชีวิต
พวกเราจะเห็นว่า บัณฑิตในกาลก่อนท่านมีใจใหญ่ เป็นนักสร้างบารมีที่ทำในสิ่งที่ทำได้ยากในโลก ท่านยอมเสียสละทรัพย์ภายนอกแล้วยังไม่พอ ยังปรารถนาที่จะสร้างบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ด้วยการสละสมบัติที่หวงแหนที่สุด คือชีวิตของตนเอง สละทั้งทรัพย์ อวัยวะ และชีวิตให้เป็นมหาทานบารมี โดยมิได้หวาดกลัวต่อมรณภัย มุ่งทำความปรารถนาเพื่อประโยชน์สุขอันไพบูลย์ ให้เกิดขึ้นแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย คือ บำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ ให้เต็มเปี่ยม เพื่อการบรรลุธรรมเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า
พวกเราควรดูท่านเป็นแบบอย่างของการสร้างบารมี เราสละทรัพย์ เราก็จะได้สมบัติใหญ่ในการสร้างบารมีต่อไปอย่างสะดวกสบาย เมื่อทรัพย์สมบัติพรั่งพร้อม จะให้ทาน รักษาศีล หรือเจริญภาวนา ก็สามารถทำได้เต็มที่ การแสวงหาความสุขที่แท้จริงของชีวิต ก็จะสมปรารถนาโดยง่าย จะได้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวของพวกเราทุกคน เมื่อเราหมั่นประพฤติปฏิบัติธรรมทุกวันอย่างสม่ำเสมอไม่ให้ขาดเลยแม้แต่วันเดียว และทำให้ถูกวิธีการ ไม่นานเราก็จะเข้าถึงพระธรรมกาย เข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน พบกับความสุขที่แท้จริงของชีวิต ไม่ต้องไปดิ้นรนแสวงหาสิ่งอื่นให้เสียเวลา ก็จะสมปรารถนาในชีวิตกันทุกๆ คน* คัมภีร์พระอนาคตวงศ์
http://goo.gl/YZ9iv