จากตอนที่แล้ว พระเทวีได้ทูลอ้อนวอนพระโพธิสัตว์ให้เสด็จกลับ แม้จะกราบทูลอย่างไรก็ไม่ได้ผล จึงทรงคิดอุบายอันแยบยล รีบรับสั่งให้มหาอำมาตย์ไปจุดไฟเผาเรือนเก่า ศาลาเก่า ด้วยการให้พาพรรคพวกไปรวบรวมหญ้าและใบไม้นำมาสุมให้เป็นควันมากๆ
เมื่อไฟไหม้จนเกิดควันพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้ว พระนางสีวลีเทวีก็รีบตามเสด็จพระโพธิสัตว์ไป กราบทูลด้วยความตกพระทัยว่า “เสด็จพี่ เรือนคลังจำนวนมากกำลังถูกไฟไหม้ ขอพระองค์โปรดเสด็จกลับไปดับไฟเสียก่อนเถิด ดับไฟเสร็จแล้วจึงค่อยเสด็จออกผนวชภายหลังก็ได้”
ฝ่ายพระมหาชนกผู้มีพระหฤทัยตั้งมั่นต่อการบรรพชา ได้ตรัสว่า“เราไม่มีความกังวลด้วยของเหล่านั้นที่ถูกเพลิงเผาผลาญ
แม้กรุงมิถิลาจะถูกเผา สมบัติอันใดของเรามิได้ถูกไฟไหม้ เพราะเราได้สละวางสมบัติเหล่านั้นแล้ว”ครั้นตรัสอย่างนี้แล้วก็เสด็จต่อไป
พระนางสีวลีเทวีทรงคิดหาวิธีใหม่ โดยรับสั่งให้พวกอำมาตย์ทำทีเป็นโจรจำนวนมากมาปล้นฆ่าชิงทรัพย์ของชาวบ้านบริเวณรอบๆ แล้วพระนางสีวลีก็เข้ากราบทูลสำทับลงไปว่า “เกิดโจรร้ายขึ้นแล้ว กำลังปล้นแว่นแคว้นของพระองค์ ขอพระองค์จงเสด็จกลับไปปราบโจรร้ายก่อนเถิด”
แต่พระโพธิสัตว์เป็นผู้มีพระปัญญา ทรงดำริว่า “เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ จะไม่เกิดโจรปล้นทำลายแว่นแคว้นเด็ดขาด เหตุการณ์นี้เห็นทีจะเป็นการกระทำของพระสีวลีเทวี” จึงมีรับสั่งกับพระเทวีว่า ให้เลิกทำอย่างนี้เสีย และอย่าได้ติดตามพระองค์ต่อไปอีกเลย
พระมหาชนกได้เสด็จออกผนวชด้วยพระราชหฤทัยที่มั่นคง แต่ก็ถูกพระนางสีวลีเทวีและเหล่านางสนมใช้อุบายอันชาญฉลาดเข้าขัดขวางพระองค์ทุกวิถีทาง เพื่อรั้งให้ทรงอยู่เสวยเบญจกามคุณในราชสมบัติต่อไป
ดังห้วงมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาล แม้มนุษย์จะสามารถล่องเรือไปยังอีกฟากฝั่งหนึ่งได้ แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่สามารถล่องเรือไปถึงฝั่งแห่งความหลุดพ้นจากความเป็นทาสของกิเลสได้ ยังคงวนเวียนอยู่ในโอฆะคือห้วงนํ้าขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นด้วยมังสจักษุ
ผู้มีปัญญาจักษุเท่านั้น จึงจะเห็นและรู้ว่า มนุษย์ทั้งหลายยังถูกผูกมัดเอาไว้ด้วยตัณหา ให้วนเวียนอยู่ในห้วงน้ำใหญ่ทั้ง ๔ คือ กามโอฆะ ห้วงน้ำคือกาม ภวะโอฆะ ห้วงน้ำคือภพ ทิฏฐิโอฆะ ห้วงน้ำคือทิฏฐิ และอวิชชาโอฆะ ห้วงน้ำคืออวิชชา
โอฆะทั้ง ๔ นี้ เป็นสิ่งที่มนุษย์ว่ายข้ามได้ยากที่สุด ผู้ที่ข้ามไปได้ก็มีเพียงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายเท่านั้น
ส่วนมนุษย์ เทวดา พรหมหรืออรูปพรหม ต่างก็ยังตกอยู่ในห้วงโอฆะทั้ง ๔ เหล่านี้เหมือนกันหมด สรรพสัตว์ทั้งหลายถูกบ่วงแห่งมารคือกิเลสร้อยรัดเอาไว้ ทำให้ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพทั้งสามเรื่อยไป
ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า“ชนเหล่าใด ประพฤติตามธรรมอันพระสุคตเจ้าตรัสแล้วโดยชอบชนเหล่านั้นย่อมข้ามบ่วงมารที่ข้ามได้โดยยาก จักถึงฝั่งอันเกษมบัณฑิตออกจากอาลัยแล้ว อาศัยความไม่มีอาลัยพึงละธรรมดำเสียแล้วเจริญธรรมอันขาวสะอาดขาว”บัณฑิตทั้งหลาย ท่านมองเห็นโลกตามความเป็นจริง จึงพยายามฝึกฝนอบรมตนเอง เพื่อยกตนให้หลุดพ้นจากกรอบของอวิชชา เพื่อให้พ้นจากโอฆะทั้ง ๔ เหล่านี้
ดังเช่นพระมหาชนกผู้เป็นพระบรมโพธิสัตว์ แม้ว่าท่านจะสามารถว่ายข้ามมหาสมุทร หลุดพ้นจากวิกฤติในชีวิตมาได้ แต่ท่านก็รู้ว่าตัวเองยังตกอยู่ในห้วงแห่งโอฆะเหล่านี้ จึงตัดสินพระราชหฤทัยที่จะออกผนวช เพื่อแสวงหาหนทางหลุดพ้นจากสังสารวัฏอย่างแน่วแน่ ซึ่งบัดนี้แม้พระองค์จะได้ทรงเพศบรรพชิตแล้ว บ่ายพระพักตร์เสด็จเข้าป่าด้วยพระหฤทัยที่ตั้งมั่น แต่พระนางสีวลีเทวีพร้อมด้วยข้าราชบริพาร กับทั้งมหาชนก็ยังคงตามเสด็จทุกฝีก้าว
เมื่อพระโพธิสัตว์เจ้าเสด็จออกจากพระนครไปได้ระยะหนึ่ง ก็มีพระดำริว่า เราจะให้พระเทวีและมหาชนกลับในบัดนี้ จึงทรงหยุดพระดำเนิน แล้วหันมาตรัสถามผู้ที่ติดตามพระองค์มาว่า “ราชสมบัติในมิถิลานครเป็นของใคร”
เหล่าอำมาตย์ก็กราบทูลว่า “เป็นของพระองค์ พระเจ้าข้า” “ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงลงราชทัณฑ์แก่ผู้ที่ข้ามรอยที่เราจะขีดนี้”
ครั้นมีราชบัญชาอย่างนั้นแล้ว ก็ทรงใช้ไม้ขีดเป็นรอยเส้นขนาดใหญ่ ขวางทางเอาไว้ แล้วก็เสด็จดำเนินต่อไป มหาชนต่างก็ยังเคารพในราชบัญชา จึงไม่กล้าข้ามหรือลบรอยขีด
แม้พระนางสีวลีเทวีก็ไม่กล้าที่จะข้ามรอยขีดนั้นไป ทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ทรงหันพระปฤษฎางค์เสด็จไปอย่างไม่อาวรณ์ ก็ไม่สามารถจะกลั้นโศกาดูรไว้ได้ จึงกันแสงจนล้มขวางทางกลิ้งเกลือกไปมาเหมือนคนไม่มีสติ
พระนางทรงกลิ้งเกลือกทำรอยขีดนั้นให้เลอะเลือน เมื่อล่วงเลยรอยขีดนั้นแล้ว จึงทรงลุกขึ้นเสด็จตามพระราชสวามีไป
มหาชนเมื่อเห็นว่า รอยขีดนั้นหายไปแล้ว จึงรีบพากันตามเสด็จพระเทวีไปอีก
ส่วนพระโพธิสัตว์ทรงบ่ายพระพักตร์มุ่งสู่หิมวันตประเทศ เสด็จไปทางทิศอุดร ฝ่ายพระนางสีวลีเทวีก็พาข้าราชบริพารตามเสด็จไปด้วย
แม้พระโพธิสัตว์จะทรงดำเนินด้วยพระบาทเปล่าไกลถึง ๖๐ โยชน์ ก็ยังไม่ทรงสามารถให้ข้าราชบริพารกลับได้
ในสมัยนั้น มีดาบสรูปหนึ่งชื่อนารทะ เป็นผู้ทรงอภิญญาสมาบัติ อาศัยอยู่ที่สุวรรณคูหาในหิมวันตประเทศ ท่านได้ใช้เวลาให้ล่วงไปด้วยสุขอันเกิดจากฌานสมาบัติ ครั้น ๗ วันผ่านไปก็ออกจากฌาน เปล่งอุทานว่า “โอ สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ”
จากนั้นก็ตรวจดูสัตว์โลกด้วยทิพยจักษุว่า ในพื้นชมพูทวีป มีใครบ้างที่กำลังแสวงหาสุขเหมือนอย่างท่าน ก็เห็นพระมหาชนกผู้เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูร ได้เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ แต่ไม่สามารถให้มหาชนและเหล่าข้าราชบริพาร ซึ่งมีพระนางสีวลีเทวีเป็นประมุขกลับพระนครได้
เกิดความกรุณาว่า หากเราไม่เข้าไปช่วยพระองค์ ข้าราชบริพารเหล่านั้นอาจกระทำอันตรายในการประพฤติพรหมจรรย์ของพระองค์ได้ จึงดำริว่า “เราจักถวายโอวาทแด่พระองค์ เพื่อให้ทรงสมาทานมั่นในการบำเพ็ญสมณธรรม”
คิดดังนี้แล้วก็เหาะไปด้วยกำลังฤทธิ์ ไปสถิตอยู่ในอากาศตรงเบื้องพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์ แล้วกล่าวว่า “ประชุมชนนี้ส่งเสียงดังเหลือเกิน คนเหล่านี้เป็นพวกไหนหนอ เดินทางมากับท่านผู้เป็นสมณะ ทำเหมือนเล่นหยอกล้อกันอยู่ในบ้าน”
พระโพธิสัตว์ได้ทอดพระเนตรพระดาบสผู้มีตบะกล้าเหาะมาสถิตอยู่เบื้องหน้า แล้วเอ่ยถามเหมือนกับจะให้พระองค์ทรงอับอายเช่นนั้น เมื่อได้สดับดังนี้แล้วพระองค์จะทรงตอบอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
http://goo.gl/yMhiQ