ข้อความต้นฉบับในหน้า
*พระโหสถมุนีได้เล่าเรื่องในอดีตชาตของท่านไว้ว่าดูๆแล้ว พระสัมพุทธเจ้าท่านได้แสดงปฏิญาณไว้มากมาย ได้พบกับพระสัมพุทธเจ้ามาหลายพระองค์ อีกทั้งมีความเชื่อมใกล้เป็นอย่างยิ่งในพระพุทธองค์ ท่านจะละสิ้นกิเลสจะเป็นพระอรหัตอยู่เสมอ มีใจกับพระรัณฑตรัยตลอดเวลา ได้ส่งสมบากุศลด้วยการเจริญ พุทธาภิสด์ทำให้ท่านมีบุญสังเวชเหล่าการบรรลุมรรครผลินพิพพาน ในชาติหนึ่ง ท่านได้ไปเกิดในยุคที่ไม่มีพระสัมพุทธเจ้ามีจึงเรียกว่า "กาลวิบัติ" คือช่วงเวลาที่ว่างจากพระพุทธศาสนา ไม่มีพระสัมพุทธเจ้าสิ้นเดียวจบอุบัติโลก ยุคนี้จึงหมดโอกาสได้รับรู้จักพระพุทธศาสนา มักได้รับพระสังฆธรรม ถ้าใครไปเกิดในยุคนั้น ก็เท่ากับว่าเกิดมาเปล่าไร้ประโยชน์ หามีสาระอะอันใดในชีวิตไม่ได้ ในสมัยนั้น ท่านได้เกิดในตระกูลของพราหมณ์ ในเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองแห่งหนึ่งครั้นเจริญรุ่งเรืองก็ได้ศึกษาปีายจนประสบความสำเร็จ แต่เนื่องจากท่านเป็นผู้ที่สั่งสมบุญเก่ามาดิ จึงผงงปัญญามองเห็นความรู้ที่ดนมีอยู่เนืองๆ หาคำสาระอะไรไม่ได้ แล้วจึงเป็นทางมาบงบปลุกคุสล ยากที่จะประกอบอาชีพให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้ ท่านจึงได้ละเสพสมราวาส ออกจากเป็นภัยอยู่ในปิหามพานต์ เมื่อบวชแล้ว ก็เป็นผู้มีผู้อาศัยเลี้ยงดูประมาณประพฤติพรหมจรรย์ จนมีครรพาเลือนใจ มาขอเป็นลูกศิษย์มีวิรารัง ๓,๐๐๐ คน ออกบวชตามเป็นปกติในสำนักของท่าน สิ่งอาศรมอยู่ใกล้ๆเขาวสละ เป็นยอดเทวะที่สูงส่งจากกุลเขามินทร์ ซึ่งนักพรตในยุคนั้น ถือว่าเป็นภูษาที่เป็น สัปปายะที่สุด ท่านกล่าวได้ส่งสอนศิษย์เหล่านี้นอยู่ท่านถึงมาจริงมีจริงยิ่งจึงคิดว่า "เราเป็นอาจารย์ของศิษย์เหล่านี้ เป็นผู้ที่อยู่ในฐานะที่ควรแก่การครอบครองไว้ แต่ น่าเสียดายใจไม่ม่อาจารย์ แม้ทีพี่แท้จริงของเรา ก็ไม่มี" คิดดั่งนี้แล้ว ก็ดึกความละอายใจ จึงได้เรียกประชุมศิษย์ทั้งหมด แล้วกล่าวกับศิษย์ ทั้ง ๓,๐๐๐ ว่า "ท่านทั้งหลายอสำเร่าเป็นอาจารย์ แต่เราไม่อาจแนะนำหนทางหลุดพ้นให้เก่าแก่ทั้งหลาย เราไม่ทราบ ถึงการบรรลุคุณธรรมอันสูงสุด ขอให้ท่านทั้งหลายจงอย่าได้เป็นผู้ไปรามา" แล้วท่านก็รู้สึกละอายใจตนเอง ที่ชีวิตไม่มีแก่สาร แม้ศัยทั้งหลายก็ไม่มีใครรู้ ว่าอะไรคือสาระที่แท้จริง ดังนั้น ท่านจึงปลีภิาวิต โดยห้าที่ส่งเพื่อปรากความเพียรอยู่เพียงลำพัง ในขณะนั้นเองบุญเก่าสงตามาน ได้กระตุ้นเตือนจิตสำนึกของท่านให้ระลึกถึงพระสัมพุทธเจ้า เพราะเนื่องจากในอดีชาต ท่านได้เคยเจริญพุทธานุสติเองจนจิต เมื่อมาเกิดในยุคที่ไม่มีพระพุทธเจ้าตาม แต่ท่านก็ขึ้นมาได้แล้วทำจิตของในเหลือใบในพระญาณของพระทกภพลิ เกิดความบิดี มีใจผ่องใส นิกถึงพระพุทธเจ้าเอาไวในใจ โดยทำความรู้สึกคล้ายกับว่า ได้งนอยู่เฉพาะพระพักตรของพระบรมศาสดา ท่านนั่งขัดสมาธิดังกล่าว ยังอยู่บนสนามที่ปลาด้วยใบไม้ ทำความเพียรไม่เลิกลา จนกระทั่งชื่นชีวิตอยู่ในอธิษฐานันเอง ด้วยอานุภาพแห่งใจผ่องใส ไม่เศร้าหมอง เมื่อโลกแล้ว จึงไปบเกิดในพรมโลก สมบัติพระพุทธองค์ได้ตรัสว่า “จิตตุ อลงกุลญู สุตติ ปฏิวัฏขา” เมื่อจิตผ่อใสไม่เศร้าหมอง บุคคลพึงหวังสุดดีได้