ข้อความต้นฉบับในหน้า
Here is the extracted text from the image:
เมื่อช้างหมู่ได้ฟังพระคำของพระปัจเจกบูรพก์แล้ว ก็เกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตการครองเรือนเป็นหลายวัน คับอยู่ต่อวันหนึ่ง เมื่อบริจาคขาวเข้าแล้ว จึงเรียกภรรยามาเรื่องให้ฟังว่า “พระปัจเจกบูรพก์ทั้งหลาย แต่เดิมท่านทรงสมบูรณ์พร้อมในมนุษย์สมบัติ แต่ท่านได้ละราชสมบัติโอปบรรพชาส ส่วนตัวเราเป็นเพียงคนใช้งแรงงาน หาสิ่งชีพด้วยการบันหน่อบขายเท่านั้น เราไม่ควรยินดีด้วยราวดลียสัยเลย ขอเธอจงเลี้ยงดูบุตรและบ่านเรือนเกิด ฉันจะออกบวช”
เมื่อคราวเราได้ฟังคำของสามีแล้วจึงกล่าวว่า “ถ้าย่ำเจ้าก็ไม่ปรารถนาจะอยู่ครองเรือนอีกต่อไป” คำกล่าวอย่างนั้นกับสามีแล้ว จึงมิกล้าสักคู่แล้วกล่าวต่อไปว่า “เมื่อท่านไม่อยู่ จากนี้ไปก็ไม่มีผู้สั่งสอนข้าพเจ้าอีก เพราะฉะนั้น เมื่อข้าพเจ้าพ้นจากการปลดรงของท่านแล้ว จะต้องอยู่คนเดียวเหมือนกันบนนบพรกซึ่งอยู่ห่างหยาดน้ำลำพัง เมื่อสามีได้ฟังดังนั้นไม่ว่าอย่างไร ส่วนรวนั้นปรารถนาจะบวช ซึ่งกล่าวว่าข้าพเจ้าจะไปทำน้ำของให้หน้าคุดบุตรด้วยว่าแล้วก็ถือเอาหมันน้ำทำน้ำเข้าไปก่อนหนีไปบวชอยู่ในสำนักของดาวสินี
ฝ่ายสามีจำเป็นต้องอยู่เลี้ยงดูลูก จนกระทั่งบุตรเต็มโตพที่จะเลี้ยงเองได้แล้ว จึงน่าฝากไปกับหมูนาติ แล้วก็ออกบวชเป็นกษัตริย์ในที่ใกล้พระนครพาราสี ทั้งสองได้ตั้งหน้าประพฤติ พรหมจรรย์จนได้บรรลุมานสมบัติ พอหมดอายุขัยในภูษัตย์นั้น ก็ไปสุตคิณาคมกุลทิศางค์สมใจไว้ดีแล้ว
เราจะสังเกตเห็นว่า การประพฤติพรหมจรรย์นอกจากจะทำให้ได้บรรลุความสุขที่ยิ่งกว่า ความสุขที่เกิดจากบุญกุศลทั้งหลายแล้ว ยังเป็นเหตุให้ได้รับบรรลุมานสมบัติ สามารถรอดพ้นจาก
ทุคติภูมิ และก็ได้รับบรรลุมรรคผลนิพพานในที่สุดอีกด้วย การรู้จักจับแม่คิดจากสภาพแวดล้อมรอบตัว นับจากสภาพแวดล้อมในวัยเด็ก จนเป็นความชาญฉลาดในการดำรงชีวิต เหมือนดังเรื่องที่หลวงพ่อบอกเล่าเมื่อสักครู่ ต้องถือว่าจริงๆ คงเป็นความสุขที่หลวงพ่อบอกไว้ในใจว่ายิ่งกว่านี้จะไม่ได้อีกแล้ว ซึ่งต้องรู้ว่าความสุขนั้นเป็นนิพพานแท้จริง ควรถือเป็นความสุขสูงสุด ที่จะคว้าไว้ในใจของเรา
พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมงคล นามเดิม พระราชกาศาจุติ (ไชโย นสม ชูโต) *มค. เล่ม ๙ หน้า ๑๔๑
อ้ายล่ะ!... ติดตามข่าวสารงานบุญต่างๆ ได้ทาง www.dmc.tv นะคะ