สมาธินั้นไม่ใช่...

คำแนะนำเกี่ยวกับสมาธิที่เลิศหรูชิ้นนี้นำมาจากหนังสือเรื่อง Mindfulness in Plain English เขียนโดย Bhante Henepola Gunarantanan มีรายละเอียดดังนี้

ความคิดที่หลากหลายทั้งหมดนี้ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับคำว่า “การทำสมาธิ” ความคิดบางความคิดก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง บางความคิดก็เหมือนไม่ค่อยมีสาระอะไร และบางความคิดในจำนวนนี้ก็มีความถูกต้องสอดคล้องกับวิธีการทำสมาธิในแบบอื่นๆ แต่ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติแบบวิปัสสนา

ในที่นี้เรากำลังจะพูดเกี่ยวกับเรื่องการทำสมาธิแบบวิปัสสนาโดยเฉพาะอยู่ทีเดียว... เพื่อที่จะศึกษาการทำงานของใจของคนเราในขณะที่อยู่ในสภาวะสงบและไม่ยึดติดกับสิ่งใด เพื่อว่าเราจะสามารถเข้าถึงญาณทัสสนะในการมองพฤติกรรมของตัวเองได้ เป้าหมายก็คือ การมีสติ สตินั้นต้องตั้งมั่น แน่วแน่ และปรับสมดุลย์ดีแล้ว จึงจะทำให้คนเราสามารถหยั่งลึกลงสู่การทำงานของจิตตามความเป็นจริงโดยตัวมันเองได้!  ได้มีการแสดงความคิดรวบยอดที่ไม่ถูกต้องในหลายแง่มุมเกี่ยวกับการทำสมาธิ... ซึ่งเป็นการดีที่เราจะเข้ามาดูในเรื่องนี้ซะในตอนนี้ เพราะว่าความเชื่อที่ไม่ถูกต้องที่มีมาอยู่ก่อนแล้วเหล่านี้ จะไปปิดกั้นความก้าวหน้าในการทำสมาธิตั้งแต่เริ่มต้นได้...

ความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ข้อที่ 1 สมาธิเป็นเพียงแค่เทคนิคของการผ่อนคลายแบบหนึ่ง

การผ่อนคลายเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของการทำสมาธิ แต่การทำสมาธิแบบวิปัสสนามุ่งไปที่ผลลัพธ์ที่เลิศลอยกว่านั้น วิธีการทำสมาธิทุกรูปแบบเป็นการเน้นเรื่องการรวมใจ การนำใจไปวางไว้ที่วัตถุชิ้นใดชิ้นหนึ่ง หรือ ณ ที่ใดที่หนึ่ง เพื่อดูว่าใจนั้นเข้มแข็งและเดินผ่านเข้าภายใน และใจหยั่งลึกถึงสภาวะเป็นสุขที่เรียกว่า ญาน ได้หรือไม่ ญานเป็นสภาวะที่ใจคนเราเข้าสู่ความสงบอย่างสูงสุดในขั้นที่ก้าวสู่ความปีติสุข มันเป็นรูปแบบของความสุขที่อยู่เหนือสิ่งใดๆ ที่คนเราจะสามารถมีประสบการณ์ได้ในสภาพของใจปกติทั่วไป กระบวนการทำสมาธิส่วนใหญ่จะหยุดอยู่เพียงแค่นั้น เพราะนั่นเป็นเป้าหมายและเมื่อคนเราเข้าถึงขั้นนั้นได้แล้ว เราจะสามารถเข้าถึงประสบการณ์นั้นได้อีกตลอดชีวิต แต่นั่นไม่ใช่การทำสมาธิแบบวิปัสสนา วิปัสสนามีเป้าหมายอีกอย่างคือ การหยั่งรู้ การตั้งมั่นของใจและความผ่อนคลายเป็นสิ่งจำเป็นที่มาคู่กับการหยั่งรู้  และการหยั่งรู้ต้องมีสิ่งอื่นๆ มาก่อน มีตัวช่วย มีผลพลอยได้อื่นๆ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป้าหมาย เป้าหมายของวิปัสสนาคือ การเห็นภายใน การทำสมาธิแบบวิปัสสนาเป็นการปฏิบัติทางศาสนาในระดับที่ลึกซึ้งมุ่งไปที่อย่างน้อยคือ การทำความบริสุทธิ์และการเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวัน

ความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ข้อที่ 2 สมาธิหมายถึงการทำตัวให้แน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว

การทำสมาธิแบบวิปัสสนาไม่ใช่รูปแบบของการหลับโดยการสะกดจิต มันไม่ใช่การที่คนเราพยายามจะปิดสวิทซ์ไฟให้กับจิตของตัวเองเพื่อที่จะให้หมดสติ มันไม่ใช่ความพยายามที่จะทำให้ตัวเองไร้อารมณ์ความรู้สึกเหมือนพืชผัก ในทางกลับกัน คนทำสมาธิจะถูกปรับให้เข้ากับอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงของตัวได้ดียิ่งขึ้น  คนเราจะรู้จักตัวเองได้แจ่มชัดมากยิ่งขึ้นมากและถูกต้องด้วย ในการเรียนรู้วิธีการฝึกสมาธิแบบนี้ ผู้สังเกตุอาจจะเห็นผู้กำลังทำสมาธิอยู่ในท่าที่แน่นิ่งไม่รู้สึกตัว แต่จริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ในสภาวะของการหลับโดยถูกสะกดจิต ผู้ถูกสะกดจิตจะอยู่ในสภาพที่ถูกควบคุมโดยผู้สะกดจิต แต่สำหรับการนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหวของคนที่เข้าถึงสมาธิระดับลึกนั้น เขายังอยู่ภายใต้การควบคุมของตัวเอง ภาพที่ปรากฎให้เห็นอย่างผิวเผินของการถูกสะกดจิตกับการเข้าสมาธิได้นั้นคล้ายกัน แต่อย่างไรก็ตามภาพที่ว่านั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญของการทำวิปัสสนา อย่างที่เราได้พูดกันไปแล้วว่า การได้สมาธิในระดับญาน เป็นอุปกรณ์หรือเป็นก้าวสำคัญบนเส้นทางไปสู่การหยั่งรู้ในระดับสูงได้ การทำวิปัสสนาตามความหมายแล้วก็คือ การสั่งสมความมีสติหรือความรู้ตัว ตามคำนิยามของระบบการทำสมาธิแบบวิปัสสนากล่าวว่า ถ้าคนเราพบว่า ตัวเราหมดสติ เราจะไม่สามารถทำสมาธิได้

ความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ข้อที่ 3 สมาธิเป็นการปฏิบัติที่ลึกลับซึ่งไม่สามารถเข้าใจได้

นี่ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง มันเกือบถูกแต่ไม่ถูกซะทีเดียว การทำสมาธิเป็นอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับระดับความรู้ตัว ซึ่งอยู่ลึกกว่าระดับของความคิด ดังนั้น ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับการทำสมาธิจึงไม่ค่อยมีคำศัพท์ที่เหมาะสมมาอธิบายได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า สมาธิไม่ใช่สิ่งที่เข้าใจได้ เพราะยังมีวิธีการอื่นๆ อีกที่จะทำให้คนเราเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ดีกว่าคำพูด ... สมาธิ คือ สิ่งที่สามารถมีประสบการณ์ได้ด้วยตนเอง สมาธิ ไม่ใช่สูตรสำเร็จที่สามารถให้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังได้ เราจะไม่สามารถคาดหวังประสบการณ์ที่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นจากการทำสมาธิในแต่ละครั้งได้ ดังนั้นการนั่งสมาธิแต่ละครั้งจึงเป็นเหมือนการสอบสวนตรวจสอบ การทดลอง และการผจญภัยทุกครั้ง ในความเป็นจริงก็คือ ถ้าคนเราสามารถเข้าถึงความรู้สึกที่คาดหวังล่วงหน้าได้และเป็นไปในแบบเดิมๆ ทุกครั้งในการปฏิบัติ เราก็จะใช้สิ่งนั้นเป็นเครื่องชี้นำทาง ซึ่งนั่นหมายความว่า เราได้หลงออกนอกเส้นทางไปแล้ว ณ จุดใดจุดหนึ่งและกำลังมุ่งสู่ความเฉยชา การเรียนรู้ที่จะมองดูทุกวินาทีให้เหมือนราวกับว่ามันเป็นวินาทีแรกและวินาทีเดียวในจักรวาลเสมอเป็นสิ่งที่จำเป็นมากในการทำสมาธิแบบวิปัสสนา

ความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ข้อที่ 4 วัตถุประสงค์ของการทำสมาธิเพื่อที่จะเป็นซูเปอร์แมนทางจิต

ไม่ใช่เลย วัตถุประสงค์ของการทำสมาธิคือ การพัฒนาความรู้ตัว การรู้วาระจิตของคนอื่นไม่ใช่เป็นประเด็นสำคัญของการฝึกสมาธิ อิทธิวิธีก็ไม่ใช่เป้าหมาย เป้าหมายคือการหลุดพ้น มันมีความเชื่อมโยงกันระหว่างปรากฎการณ์ทางจิตและการทำสมาธิก็จริงอยู่ แต่ความสัมพันธ์นี้เป็นอะไรบางอย่างที่ซับซ้อน ในช่วงแรกๆ ของการทำสมาธิ ประสบการณ์ต่างๆ อาจจะปรากฎหรือไม่ปรากฎก็ได้ บางคนอาจจะมีประสบการณ์ว่า มีความเข้าใจบางอย่างเกิดรู้ขึ้นได้เอง หรือจำเรื่องเก่าๆ ในอดีตชาติได้ขึ้นมาเอง ในขณะที่คนอื่นๆ อาจจะไม่ได้มีประสบการณ์เช่นนี้ แต่ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ถือว่าเป็นการพัฒนาการทางสมาธิที่ดีขึ้นหรือเป็นความสามารถทางจิตแต่อย่างไร และก็ไม่ควรจะไปให้ความสำคัญ ประสบการณ์ในทำนองนี้ที่เกิดขึ้นกับผู้ฝึกสมาธิใหม่ๆ จริงๆ แล้วเป็นสิ่งที่เป็นอันตรายอยู่พอสมควรทีเดียว เพราะมันจะเป็นการยั่วยวนให้ผู้ฝึกใหม่ลุ่มหลงไปได้ มันสามารถทำให้ผู้ฝึกสมาธิติดบ่วงแห่งทิฎฐิมานะซึ่งเป็นการล่อให้ผู้ฝึกสมาธิหลุดออกนอกเส้นทางไปได้ ข้อแนะนำที่ดีที่สุดก็คือ อย่าไปให้ความสนใจกับปรากฎการณ์ภายในเหล่านี้ ถ้ามันเกิดขึ้น ก็ดี ถ้ามันไม่เกิดขึ้น ก็ดี แต่ไม่ใช่ว่า คิดว่า มันจะต้องเกิด... ถ้ามีภาพและเสียงเกิดขึ้น เราก็แค่รับรู้การเกิดขึ้นนั้นและปล่อยมันไป อย่าไปมีส่วนร่วม

ความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ข้อที่ 5 สมาธิเป็นสิ่งที่อันตรายและคนที่มีความสุขุมรอบคอบควรหลีกเลี่ยง

ของทุกอย่างมีอันตรายทั้งนั้นแหละ เราเดินข้ามถนนเราก็อาจจะถูกรถเมล์ชนได้ เวลาเราอาบน้ำในห้องน้ำ เราก็สามารถลื่นหกล้มคอหักได้ การทำสมาธิก็สามารถทำให้เราไปขุดเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องต่างๆ ในอดีตขึ้นมาคิดได้ สิ่งที่ถูกเก็บกดไว้นานๆ สามารถกลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวได้ และในขณะเดียวกันก็สามารถกลายเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างมากได้เช่นกัน ไม่มีของสิ่งใดที่ปราศจากความเสี่ยงไปเสียทั้งหมด แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เราควรจะหลบซ่อนตัวอยู่แต่ในรังที่ปลอดภัยของตัวเองตลอดเวลา นั่นไม่ใช่การดำเนินชีวิต นั่นเป็นการตายก่อนถึงเวลาอันควรอย่างหนึ่ง วิธีการที่จะจัดการกับสิ่งที่เป็นอันตรายก็คือ การเรียนรู้ว่า สิ่งนั้นจะทำอันตรายได้มากแค่ไหน สิ่งนั้นจะพบหาได้ที่ไหนบ้าง และจะจัดการกับมันได้อย่างไรเวลามันเกิดขึ้น การทำวิปัสสนาเป็นการพัฒนาความรู้ตัว ซึ่งในตัวมันเองไม่มีอันตรายอันใด ในทางตรงข้ามมีแต่ดีอย่างเดียว การเพิ่มขึ้นของความรู้ตัวเป็นตัวปกป้องเราจากอันตราย ถ้าทำอย่างถูกต้อง สมาธินั้นจะต้องเป็นกระบวนการที่เบานุ่มนวลและค่อยเป็นค่อยไป ต้องทำไปอย่างช้าๆ สบายๆ แล้วพัฒนาการจะเป็นไปเองอย่างธรรมชาติ ไม่ควรใช้กำลัง....

ความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ข้อที่ 6 สมาธิเป็นการปฏิบัติของพระอรหันต์เท่านั้น ไม่ใช่ของฆราวาส

ทัศนคติแบบนี้เราจะพบเห็นได้ทั่วไปในแถบทวีปเอเชีย ที่ซึ่งพระภิกษุและพระผู้สำเร็จจะได้รับความเคารพอย่างสูงมาก  ....บุคคลเหล่านี้เป็นเสมือนแม่พิมพ์ มีรูปแบบที่เหนือการดำรงชีวิตทั่วไป มีลักษณะพิเศษที่มนุษย์จำนวนเพียงเล็กน้อยจะสามารถดำรงชีวิตเช่นนั้นได้  การที่เราสามารถติดต่อกับบุคคลเหล่านี้ได้บ้างทำให้ภาพลวงตาเกี่ยวกับคนเหล่านั้นจางหายไป เราพบว่า พวกนักบวชนี้เป็นบุคคลที่มีพลังงานในตัวมากมายมหาศาลและกระปรี้กระเปร่า เป็นบุคคลซึ่งดำรงชีวิตภายใต้ความเข้มงวดที่น่าพิศวงได้ แน่นอน!! มันเป็นจริงที่ว่า พระผู้สำเร็จส่วนมากต้องทำสมาธิด้วย แต่บุคคลเหล่านี้ไม่ได้ทำสมาธิเพราะว่า ท่านเป็นพระผู้สำเร็จ นั่นเป็นการมองย้อนศร แต่ท่านเป็นพระผู้สำเร็จได้เพราะท่านทำสมาธิ สมาธิคือ สิ่งที่ทำให้ท่านไปถึงจุดนั้นได้ ท่านต้องทำสมาธิมาก่อนที่ท่านจะเป็นพระผู้สำเร็จได้ นี่คือประเด็นที่สำคัญ มีคนจำนวนมากทีเดียวที่คิดว่า คนเราต้องเป็นคนที่อุดมด้วยคุณธรรมเสียก่อนที่จะเริ่มต้นฝึกสมาธิ นั่นเป็นยุทธศาสตร์ที่ไม่ได้ผล ศีลธรรมจะมีขึ้นได้ คนๆ นั้นจำเป็นต้องมีความสามารถในควบคุมจิตใจตัวเองได้ในระดับหนึ่ง การควบคุมจิตใจได้เป็นสิ่งที่ต้องมาก่อน คนเราจะไม่สามารถรักษาศีลในระดับใดได้เลยถ้าขาดรากฐานของการควบคุมตนเองได้ ถ้าใจของคนเราหมุนติ้วเหมือนเครื่องปั่นผลไม้ การควบคุมตนเองเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้นการอบรมทางจิตต้องมาก่อน

องค์ประกอบรวมของการทำสมาธิในพระพุทธศาสนามี 3 ส่วนด้วยกันคือ ศีล สมาธิ ปัญญา สามส่วนนี้จะเติบโตไปด้วยกันเมื่อเราปฏิบัติสมาธิลึกมากยิ่งขึ้น เพราะแต่ละส่วนนั้นมีอิทธิพลซึ่งกันและกัน ดังนั้นเราต้องฝึกทั้งสามส่วนนี้ไปพร้อมๆ กัน ไม่ใช่ทีละอย่าง เมื่อคนเรามีปัญญาที่สามารถเข้าใจสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งได้ ความรู้สึกเมตตาต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์นั้นๆ ก็จะเกิดขึ้นโดยปริยาย ความเมตตาในที่นี้หมายถึงว่า เรารู้สึกขึ้นเองว่าจะต้องควบคุมความคิด คำพูด และการกระทำของเรา ที่จะทำร้ายตัวเองและคนเหล่านั้นได้ ดังนั้นพฤติกรรมของเราก็จะมีคุณธรรมไปโดยปริยาย นั่นก็คือ เมื่อไรที่คนเราไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์เราจะสามารถสร้างปัญหาขึ้นมาได้ ถ้าคนเราไม่สามารถมองลึกลงไปถึงผลของการกระทำของตัวเอง นั่นจะทำให้เราทำผิดพลาดได้ คนที่รอจนกระทั่งตัวเองเป็นคนที่มีศีลธรรมเสียก่อนจึงจะเริ่มปฏิบัติสมาธินั้น เขากำลังรอในสิ่งที่จะไม่มีวันจะมาถึงได้เลย... การทำสมาธิไม่ใช่การปฏิบัติที่เข้มงวดที่สงวนไว้เฉพาะนักบวชและพวกฤาษีเท่านั้น การทำสมาธิเป็นการฝึกทักษะที่เน้นไปที่เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันและสามารถไปปรับใช้ได้ในชีวิตของแต่ละคน การทำสมาธิไม่ใช่เป็นเรื่องของโลกอีกมิติหนึ่ง

ความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ข้อที่ 7 สมาธิเป็นการหนีความเป็นจริงในชีวิต

ไม่ถูกต้อง การทำสมาธินั้นเป็นการเข้าถึงความเป็นจริง สมาธิไม่ได้เป็นการป้องกันคนเราจากความเจ็บปวดในชีวิต มันเป็นช่องทางที่ทำให้คนเราสามารถล้วงลึกลงไปในชีวิตในแง่มุมต่างๆ ที่คนเราสามารถเจาะทะลุกำแพงของความเจ็บปวดไปอยู่เหนือความทุกข์ทั้งหลายได้ การทำวิปัสสนาเป็นการปฏิบัติที่มุ่งเน้นโดยเฉพาะไปที่การเผชิญหน้ากับความเป็นจริง เพื่อที่จะเรียนรู้ชีวิตตามความเป็นจริงอย่างสูงสุด และเพื่อจัดการกับสิ่งที่เราค้นพบ มันเป็นการช่วยให้เราสามารถกำจัดภาพลวงตาทั้งหลายได้ และช่วยให้คนเราสามารถปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากข้อแก้ตัวเล็กๆ น้อยๆ ที่ฟังดูดีที่เราชอบบอกตัวเองตลอดเวลา ต่อไปนี้อะไรจริงก็คือจริง เราเป็นใครก็เป็นคนนั้นแหละ และการที่คนเราคอยแต่โกหกตัวเองเกี่ยวกับความอ่อนแอและความกระตือรือร้นของตัวเองเป็นการทำให้เราถูกผูกมัดอยู่ในวงล้อของภาพลวงตาต่อไป การทำสมาธิแบบวิปัสสนานั้นไม่ใช่ความพยายามที่ลืมตัวตนของตัวเอง หรือเป็นการหมกเม็ดปัญหาต่างๆ เอาไว้ มันเป็นการเรียนรู้ที่จะมองตัวเองอย่างถูกต้องว่า เราเป็นอย่างไรและยอมรับมัน ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่เราจะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้

ความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ข้อที่ 8 สมาธิเป็นหนทางที่วิเศษสุดที่จะนำไปสู่ความสูงส่ง

อืม... ถูกและผิด การทำสมาธิทำให้เราได้รับความรู้สึกปีติสุขในบางครั้ง แต่นั่นไม่ใช่วัตถุประสงค์ของการทำวิปัสสนา และความปีติสุขที่ว่านั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราทำสมาธิด้วยความหวังว่า จะได้รับความสุขดังที่ว่านี้ ก็มีแนวโน้มมากว่า เราจะไม่ได้รับความรู้สึกที่ว่านั้น เมื่อเทียบกับ เมื่อเราทำสมาธิไปตามวัตถุประสงค์ของสมาธิโดยปกติทั่วไป คือเพื่อเพิ่มพูนความรู้ตัว ความปีติสุขเป็นผลของการผ่อนคลาย และความผ่อนคลายเป็นผลของการปลดปล่อยความตึงเครียดออกไป การแสวงหาความปีติสุขจากสมาธิเป็นการก่อให้เกิดความเครียดในขณะที่กำลังปฏิบัติได้ และเป็นต้นเหตุทำให้ประสบการณ์ภายในทั้งระบบล่มสลาย เราจะได้ประสบการณ์ความสุขภายในจากการที่เราไม่ไปไล่ตามหาความสุขภายใน...  ความปลื้มปีติไม่ใช่วัตถุประสงค์ของการทำสมาธิ ปีติเกิดขึ้นบ่อยมากในสมาธิแต่มันเป็นแค่ผลพลอยได้เท่านั้น  อย่างไรก็ตามมันก็เป็นผลข้างเคียงที่น่าพึงพอใจ และมันก็จะเกิดบ่อยยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อเราทำสมาธินานขึ้นเรื่อยๆ

ความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ข้อที่ 9 สมาธิเป็นสิ่งที่เห็นแก่ตัว

มันดูเหมือนเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ดูซิ...เขานั่งนิ่งอย่างสบายบนเบาะเล็กๆ อันหนึ่งไม่ต้องทำอะไร ทำไมเขาต้องทำอย่างนั้นด้วย ก็เพราะว่า เขาปรารถนาจะฟอกล้างความโกรธ อคติ และความพยาบาทออกจากใจของเขาเองนะซิ เขาทุ่มเทอย่างมากในการกำจัดความโลภ ความเครียด ความไม่รู้ตัว สิ่งเหล่านี้แหละที่เป็นตัวขัดขวางความเมตตาของเขาที่มีต่อผู้อื่น และถ้าสิ่งเหล่านี้ยังไม่หมดไปจากใจ ความดีทุกอย่างที่คนเราทำนั้นก็เป็นเพียงการขยายตัวของทิฎฐิของคนๆ นั้นเท่านั้น ไม่ได้เป็นการช่วยเหลือที่แท้จริงในระยะยาว… ถึงแม้ว่าการทำสมาธิทำให้เรารู้จักตัวเองอย่างถูกต้องมากขึ้น โดยการที่เราจะเป็นผู้ที่ตื่นขึ้นมาสู่การรับรู้ถึงวิธีการที่แยบยลอันหลากหลายที่ความเห็นแก่ตัวของเราเองปรากฎขึ้น และเมื่อนั้นแหละที่คนเราจะเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงเป็นคนที่ไม่เห็นแก่ตัวได้ การฟอกล้างตัวเองจากความเห็นแก่ตัวไม่ใช่กิจกรรมที่เห็นแก่ตัวไม่ใช่หรือ

ความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ข้อที่ 10 การทำสมาธิ คือการที่คนเรานั่งคิดเกี่ยวกับความคิดที่เลิศลอยต่างๆ

ผิดอีกแล้ว การทำสมาธิประกอบด้วยกระบวนของการเพ่งพิจารณาที่เป็นระบบ แต่นั่นไม่ใช่การทำวิปัสสนา การทำวิปัสสนาเป็นการปฏิบัติเพื่อให้เกิดความรู้ตัว การรู้ตัวมีอยู่แล้ว ไม่ว่ามันจะเป็นสัจจธรรมที่สูงส่งหรือเป็นแค่ขยะที่ไร้คุณค่า อะไรที่มีอยู่แล้วก็มีอยู่แล้ว แน่นอนล่ะว่า ความคิดที่สวยหรูเลิศลอยอาจจะปรากฎขึ้นในขณะปฏิบัติได้ มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถเสาะแสวงหาได้เช่นกัน มันเป็นเพียงแค่ผลข้างเคียงที่น่าพึงพอใจเท่านั้น วิปัสสนาเป็นการปฏิบัติที่ง่ายๆ มันเป็นการเรียนรู้เหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา โดยปราศจากการเสเเสร้ง และปราศจากภาพจินตนาการ วิปัสสนาเป็นการมองดูชีวิตที่เผยตัวเองออกมาจากขณะหนึ่งสู่อีกขณะหนึ่งโดยปราศจากอคติ อะไรที่ปรากฎขึ้นก็คือปรากฎขึ้น

ความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ข้อที่ 11 ทำสมาธิสัก 2-3 สัปดาห์แล้วปัญหาต่างๆ ในชีวิตจะหมดไป

เสียใจด้วย ที่จะต้องบอกว่า สมาธิไม่ใช่ยาครอบจักรวาลที่แก้ไขได้ทุกโรคในฉับพลัน เราเริ่มเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เริ่มต้นทำสมาธิ แต่ผลในระดับลึกซึ้งจะต้องใช้เวลาเป็นปี นั่นคือวิธีที่จักรวาลถูกสร้างขึ้นล่ะ ไม่มีอะไรที่มีคุณค่าสามารถทำสำเร็จได้เพียงแค่ข้ามคืน การทำสมาธิเป็นสิ่งที่ยากในบางแง่มุม มันต้องการความสม่ำเสมอที่ต่อเนื่องและบางขั้นตอนก็ยากมากด้วย การนั่งสมาธิแต่ละครั้งเราได้รับผลลัพธ์บางอย่างเสมอ แต่ผลลัพธ์เหล่านั้นมักจะอยู่ในระดับลึก มันเกิดขึ้นในส่วนลึกภายในใจ  และจะปรากฎขึ้นในภายหลังเท่านั้น และถ้าคนเรามุ่งแต่จะนั่งสมาธิเพื่อให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในฉับพลัน เราจะพลาดการสังเกตุเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ค่อยเป็นค่อยไปที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้ง ผลก็คือเราจะเกิดความรู้สึกท้อแท้ และเลิกไปในที่สุด พร้อมกับสบถว่า ไม่เห็นมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่ว่ามาเลย ความอดทนเป็นกุญแจสำคัญ จงอดทน ถ้าเราไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยจากการทำสมาธิ อย่างน้อยที่สุดเราก็ได้เรียนรู้การอดทน และนั่นถือว่าเป็นบทเรียนที่มีคุณค่ามากที่สุดที่สมาธิได้ให้แล้วแหละ

ที่มา-http://viewonbuddhism.org/resources/meditation_is_not.html

 
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

บทความที่เกี่ยวข้อง