เรียงความวันแม่ รวมเรื่องซึ้งๆ เกี่ยวกับแม่

รวมเรียงความวันแม่ซึ้งๆ รวมเรื่องราวเกี่ยวกับพระคุณแม่ ในเรียงความวันแม่ได้ที่นี่ https://dmc.tv/a14055

บทความธรรมะ Dhamma Articles > เรื่องเด่นทันเหตุการณ์
[ 8 ส.ค. 2555 ] - [ ผู้อ่าน : 18259 ]
รวมเรียงความวันแม่ เรื่องสั้นวันแม่ 
 
กลอนวันแม่การ์ดวันแม่ เพลงวันแม่เรียงความวันแม่ เรียงความเรื่องแม่รูปภาพวันแม่คำอวยพร วันแม่แห่งชาติ
 
เพลงเรียงความเรื่องแม่
 
 
มาดูเรื่อง แม่บังเกิดเกล้า เพื่อระลึกถึงพระคุณแม่ ในวันแม่แห่งชาติกัน 
 
 

เรียงความวันแม่ เรื่อง ความรักของแม่ 
 
        (เรียงความวันแม่) ภาพทุ่งนากว้างสีเขียวผืนใหญ่กำลังจะหายไป ยามอาทิตย์อัสดงลาลับขอบฟ้า ชาวนาเริ่มกลับจากท้องนาเพื่อจะพักผ่อนเอาแรง ท้องฟ้าเริ่มถูกปกคลุมด้วยความสลั่วๆ และไอหมอกยามเย็นที่ลอยอ้อยอิ่งและเคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆ  สายลมหนาวนิดๆพัดมาแผ่วๆ มาเป็นระลอกๆ ทิวไม้ลู่ตามแรงลมเป็นระยะๆ แสงแห่งดวงจันทร์สาดส่องไปตามทิวเขาป่าไม้ที่ไกลออกไป ในฤดูแห่งเหมันต์ ภาพชีวิตของสังคมชนบทได้เริ่มต้นขึ้น น้ำเสียงที่ไพเราะอ่อนหวานของมารดาผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความโอบอ้อมอารีในตัวของบุตรชายอย่างหาที่เปรียบมิได้
 
        “โอ้...อย่าร้องนะ...อย่าร้องนะ...แม่มาแล้ว” เสียงของหญิงวัยกลางคนรูปร่างผอมบาง ร้องเรียกบอกลูกน้อยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรัก “แม่อยู่นี้แล้วนะลูก... อ่ะ.. กินนมนะคนดี” หญิงรูปร่างวัยกลางคนนี้กำลังให้นมแก่ลูกน้อยของเธอที่กำลังร้องไห้  
 
        “ให้นมลูกอยู่หรอ แม่บัว” เสียงยายนวลเพื่อนบ้านของแม่บัวร้องถาม พร้อมกับเดินเข้ามานั่งข้างๆ “น่ารักน่าชังจังเลย...หลานน้อย...” ยายนวลพูดพลางใช้มือจับที่แก้มของน้องกล้า ด้วยทางที่บ่งบอกถึงความเอ็นดูในตัวของน้องกล้าอย่างมาก 
 
        “น้องกล้าอายุได้กี่เดือนแล้วหรอ”
 
        “หกเดือนเองจ๊ะ”
 
        “ฉันว่ายายบัวโชคดีมากเลยนะ...ที่มีลูกชาย เผื่อว่าเวลาที่เขาโตขึ้นจะได้ดูแลเรายามเจ็บไข้ได้ป่วยได้...”  
 
        “ฉันก็ขอให้เป็นอย่างนั้นเถิด...พ่อคุณ!
 
        “ฉันจะเอาน้องกล้าเข้านอนก่อนนะ...สงสัยแกคงง่วงนอนมากเลย” ยายบัวพูดพร้อมกับอุ้มตัวของน้องกล้าขึ้น
 
        “จ๊ะ..งั้นฉันกลับบ้านก่อนนะ” ยายนวลกล่าวลาแล้วก็ลุกขึ้นเดินกลับบ้านของตน ชึ่งอยู่ข้างๆบ้านของยายบัวเอง ในค่ำคืนที่พระจันทร์ลอยเด่นทอแสงนวลใย ส่องสว่างไสวและเปล่งประกายแห่งความสุขไปทั่วทั้งตำบล หญิงวัยกลางคนผู้เป็นแม่ก็ได้นำลูกน้อยของตนเข้านอนด้วยความทะนุถนอม  
 
        “แหม...หลับน่ารักเชียว...พ่อหนุ่มน้อย...อย่าตื่นขึ้นมาร้องกลางดึกล่ะ...คนดี” ยายบัวกระซิบบอกที่ใบหูพร้อมกับหอมแก้มของลูกน้อย แล้วกล่าวว่า 
 
        “แม่...นอนก่อนนะ” แล้วยายบัวก็นอนหลับไปด้วยอุ่นไอแห่งความสุขจากลูกน้อย
 
        สายใยแห่งความพันธ์ผูกของแม่กับลูกทำให้ชีวิตของยายบัวเปี่ยมแววด้วยความปราถนาที่จะต้องต่อสู้ดิ้นร้นเพื่อความสุขความสบายของลูกน้อย เนื่องจากครอบครัวน้อยๆหลังนี้ มีเพียงยายบัวและน้องกล้าสองคนเท่านั้น ส่วนพ่อของน้องกล้าได้ตายจากไปตั้งแต่ตอนที่น้องกล้าอยู่ในครรภ์ของมารดา และอีกทั้งฐานะทางครอบครัวของยายบัวก็ค่อนข้างที่จะยากจน นี้คืออุปสรรคที่สำคัญที่ทำให้ยายบัวต้องต่อสู้ดิ้นรนมากกว่าชาวบ้านปกติทั่วไป โดยที่ยายบัวต้องฝากน้องกล้าไว้กับเพื่อนบ้านในตอนเช้า เพื่อที่ตนเองจะต้องออกไปรับจ้างหาเงินมาซื่อนมให้ลูกกิน  ต่อให้เหน็ดเหนื่อยมากแค่ไหน ยายบัวก็ไม่เคยท้อแท้หวังเพียงให้ลูกของตนเองได้กินอิ่มก็เพียงพอ บางครั้งยายบัวทำงานหนักมากและรู้สึกเหนื่อยล้า แต่พอกลับมาเห็นหน้าของน้องกล้า มันก็ทำให้ความเหน็ดเหนื่อยของยายบัวเหือดหายไปราวกับปลิดทิ้ง ยายบัวต้องทำงานหนักในตอนเช้าและก็กลับมาอยู่กับลูกตอนบ่ายอย่างนี้ไปทุกวัน...ทุกวัน...จนกระทั้งน้องกล้าอายุได้ห้าขวบ ยายบัวก็ได้ส่งน้องกล้าเข้าไปเรียนในโรงเรียนประจำหมู่บ้าน ส่วนตนก็ต้องทำงานหนักมากขึ้นและยังหันมาปลูกผักขายอีกเพื่อที่จะได้มีเงินส่งเสียค่าเล่าเรียนของน้องกล้าและซื้อชุดใหม่ๆให้น้องกล้าใส่เพื่อที่จะทำให้น้องกล้ามีทุกอย่างเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ
 
       “เร็วๆหน่อย...เดี๋ยวลูกจะไปโรงเรียนสายนะ แม่ก็จะต้องรีบไปทำงานเหมือนกัน” 
 
        “ครับแม่..เสร็จแล้วครับ” น้องกล้าวิ่งออกมาด้วยความรีบร้อน   
 
        “รีบไปกันเถอะ..แม่ก็จะรีบไปทำงานเหมือนกัน”
 
        “ครับ” แม่บัวได้พาน้องกล้าเดินทางไปโรงเรียน และได้บอกกับน้องกล้าก่อนที่ตนเองจะไปทำงานว่า 
 
        “เปิดเรียนวันแรกลูกต้องตั้งใจเรียนนะ...ลูกจะไม่ได้ลำบากแบบแม่” น้องกล้าได้ทอดสายตาไปสู่ผู้เป็นมารดาครู่หนึ่งแล้วตอบรับว่า “ครับ...แม่” ตลอดระยะที่เรียนอยู่ระดับอนุบาลจนกระทั้งถึงมัธยมศึกษา น้องกล้าก็ทำตัวเป็นเด็กที่ดีของแม่มาตลอดและได้ช่วยแบ่งเบาภาระของแม่ต่างๆมากมาย ซึ่งทำให้ผู้เป็นแม่รู้สึกภูมิใจในตัวของน้องกล้ามาก จนกระทั้งน้องกล้าได้เรียนจบระดับมัธยมศึกษา
 
        วันหนึ่ง  ขณะที่ยายบัวกำลังผ่าฟืนอยู่นั้นเอง  ก็มีเสียงดังขึ้นว่า “ไชโย ไชโย ดีใจจังเลย” เสียงของหนุ่มน้อยที่เปล่งออกมาด้วยความสุขใจยิ่ง “แม่ครับ...แม่ครับ...ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว.. แม่ดีใจหรือเปล่าครับ”
 
        “จริงหรอ!..ลูก” ยายบัวอุทานด้วยความตื่นเต้นและดีใจพลางยกแขนขวาขึ้นเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก “ครับ...แม่..ผมดีใจที่สุดเลย..” 
 
        “แม่ก็ดีใจเช่นกัน...ต่อไปนี้ลูกของแม่ก็จะได้เรียนสูงๆ และคงได้ทำงานดีๆ นะ”การเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยของนายกล้าก็ได้เริ่มขึ้นจากวันนั้นเป็นต้นมา กล้าก็เริ่มรู้จักกับผู้คนมากมายที่มหาวิทยาลัย อยู่มาวันหนึ่งนายกล้าก็ย้ายไปอยู่ที่หอพักนักศึกษาของมหาวิทยาลัย และได้ใช้ชีวิตส่วนมากของตนเองอยู่กับเพื่อนๆ ในตอนหัวของค่ำคืนหนึ่งกล้าและเพื่อนๆ ก็ได้นั่งรับประทานอาหานเย็นด้วยความเอร็ดอร่อยที่หน้าหอพักของมหาวิทยาลัย   
 
        “เฮ้ย...ไอ้กล้า คืนนี้มึงว่างหรือเปล่าวะ...เดี๋ยวพวกกูจะพาไปเที่ยว” นายแม็กเพื่อนสนิทของกล้าได้ร้องขึ้นถามด้วยน้ำเสียงห้าวๆ แข็งๆ กล้าก็หันไปมองหน้าของแม็กแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
 
        “เฮ้ย!...ตกลงจะไปป่าววะ” กล้าก็พยักหน้าแล้วตอบว่า “ไปดิ...ว่าแต่พวกนายจะพาเราไปเที่ยวไหนล่ะ”
 
        “อือ...เออ..เดี๋ยวพาไปเองแหละ” จากนั้นแม็กก็ได้พากล้าและเพื่อนๆไปที่ร้านคาราโอเกะที่อยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยไม่ไกลนัก โดยกล้าไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเขา มันรออยู่ข้างหน้าแล้ว พอรถของแม็กไปถึงร้านคาราโอเกะ ก็มีเสียงพูดดังขึ้น 
 
        “เฮ้ย...ถึงแล้ว วันนี้เราสนุกกันแน่” เสียงของแม็กร้องบอกเพื่อนๆ ด้วยความตื่นเต้น
 
        “เอ่อ...แม็กแล้วพาเรามาทำอะไรที่นี้หรอ”  
 
        “กินเหล้าว่ะ..รู้สึกเบื่อๆเซ็งยังไงบอกไม่ถูก...ก็เลยหาอะไรกินแก้เซ็ง”
 
        “เฮ้ย...มันจะดีหรอ..เราไม่เคยกินเหล้าเลยอ่ะ” กล้าขมวดคิ้วเข้าหากัน  
 
        “ไม่เคยกินก็หัดกินสิวะ..โตป่านนี้แล้ว”
 
        "ทำตัวเป็นเด็กอมมือไปได้” แม็กพูดขึ้นพลางเอื้อมมือไปจับที่แขนของกล้า แล้วจูงเข้าไปในร้านคาราโอเกะและการดื่มหล้าก็ได้เริ่มขึ้น 
 
        “เอาให้หมดเลยนะ...กล้า” แม็กกล่าวพร้อมกับรินเหล้าให้กล้า พอกล้ายกแก้วขึ้นดื่มก็ทำสีหน้าเปลี่ยนไปราวกับว่าตนเองกำลังดื่มแมงมุมเข้าไปทั้งตัว 
 
        “เป็นไงบ้างวะ...กล้า..ดูทำหน้าตาเข้าดิ” แม็กถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น  
 
        “ไม่รู้ดิ...เราบอกไม่ถูก” 
 
        “งั้นเอาอีกแก้วแล้วกันนะ” การดื่มเหล้าในครั้งนั้นเปรียบดังการชักนำความมืดเข้ามาสู่ชีวิตของกล้า เพราะทำให้เขาหันมาดื่มเหล้าและไปเที่ยวเป็นประจำแถมยังเสพยาเสพติดอีกด้วย จึงทำให้กล้ามีพฤติกรรมที่เกเร ชอบก่อกวนคนอื่นและสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นเป็นนิตย์ไม่เว้นแต่ละวัน ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้กล้าและเพื่อนๆ ถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย ซึ่งต่างคนก็ต่างก็ต่างแยกย้ายกันไปตามทางของตน ส่วนกล้านั้นจึงได้ย้อนกลับไปหาแม่ที่บ้าน ทันทีที่ยายบัวเห็นกล้าเดินกลับมาก็ดีใจเพราะคิดว่าลูกตนกลับมาเยี่ยม
 
        “อ้าว...ทำไมกลับมาได้..ไม่มีเรียนหรอ” กล้าหันไปมองหน้าแม่ครู่หนึ่งแล้วก็ก้มหน้าไม่พูดอะไร  
 
        “กล้า..มีอะไรหรือเปล่าลูก บอกแม่ได้นะ” กล้าร้องไห้โอบกอดแม่ แล้วพลางพูดว่า
 
        “ผมถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยแล้วครับ” เมื่อยายบัวได้ฟังอย่างนั้นก็รู้สึกเสียใจมากเสมือนดังสายฟ้าผ่าเข้ามาตรงกลางหัวใจ แต่ด้วยความรักลูกจึงไม่ได้ดุด่า เพราะจะเป็นการซ้ำเติมลูกเฉยๆ สิ่งที่แม่ทำได้ในตอนนั้นก็คือ คอยให้กำลังใจลูกต่อไปและก็พร้อมที่จะให้โอกาสลูกอีก แต่เนื่องด้วยความเคยชินของกล้าทำให้เขามีนิสัยที่เกเรและก็ชอบดื่มเหล่าเหมือนเดิมซึ่งอยากที่จะเปลี่ยน เพราะเขาติดเหล้ามากและชอบเมาเหล้ากลับบ้านมาหาแม่ทุกวันๆ
 
        “กล้า...เมากลับบ้านอีกแล้วหรอ..แม่บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้ดื่มเหล้า” ยายบัวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฝืดเคืองและไม่พอใจเป็นอย่างมาก  
 
       “อย่ามายุ่งโว้ย...รำคาญ” ยายบัวก็ได้เข้าไปพยุงกล้าให้ไปนอนที่เตียง แล้วก็นำผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้กล้า พอรุ่งเช้ายายบัวก็ได้ตื่นขึ้นมาทำอาหารเตรียมไว้ให้กล้า แล้วตนเองก็ไปทำงาน  
 
        “หิวข้าวจังเลย ใครอยู่บ้างวะ” กล้าร้องโวยวายหลังจากตื่นนอนเสร็จใหม่ๆ
 
        “เอ๊ะ..ทำไมเงีบยจัง..สงสัยแม่ไปทำงานแล้ว..พอดีแหละจะได้ไปกินเหล้ากับเพื่อนต่อ” กล้าก็ได้ขึ้นไปค้นหาตามตู้เสื้อผ้าของแม่ เพื่อที่จะเอาเงินที่แม่เก็บสะสมมาด้วยความเหนื่อยยากลำบากไปซื่อเหล้ากิน 
 
        “เฮ้ย..เจอแล้ว...ว้า..มีแค่นี้เองหรอ” กล้าได้ค้นเจอเงินที่แม่สะสมมาเกือบสามเดือน ซึ่งเป็นเงินสี่พันหกร้อยบาท 
 
        “ก็ยังดี...คงจะใช้ได้หลายวัน” กล้าบ่นพึมพรำพร้อมกับเดินออกจากบ้านและมุ่งหน้าไปยังร้านขายเหล้า และได้ร่วมกันดื่มเหล้ากับเพื่อนๆอย่างสนุกสนานโดยที่ไม่ได้หวนคิดถึงมารดาผู้ที่ลำบากตรากตรำแม้แต่นิดเลย ส่วนยายบัวหลังจากที่ได้ทำงานเสร็จแล้วก็รีบกลับบ้านหวังจะรีบไปอยู่กับลูก พอมาถึงบ้านก็ตะโกนเรียกหาลูก 
 
        “กล้า..กล้า..อยู่หรือเปล่าลูก..แม่กลับมาแล้ว” ยายบัวก็เดินขึ้นไปหาลูกในบ้าน
 
        “กล้า..เอ๊ะ...หายไปไหนของเขานะ” พอยายบัวเดินไปถึงตู้เสื้อผ้า ปรากฏว่าตู้เสื้อผ้าถูกรื้อออกมา และเงินที่แกเก็บสะสมมาเป็นเวลาสามเดือนก็หายไปด้วย ทันใดนั้น ยายบัวก็ได้ทรุดเข่าลงกับพื้นด้วยความเสียอกเสียใจ พร้อมกับร้องไห้และพึมพำว่า
 
        “โธ่...ลูก...ทำไมต้องทำกับแม่ถึงขนาดนี้ด้วย..แม่จะเอาเงินที่ไหนมาซื่อข้าวให้ลูกกิน” ยายบัวตอนนั้นมีเงินติดตัวอยู่ร้อยยี่สิบบาท ซึ่งเป็นรายได้จากที่ตนได้ทำงานในวันนั้นเอง ถ้าจะนำไปซื่อข้าวให้ตนเองกินก็กลัวว่าจะมีเงินเหลือไม่พอซื่อข้าวให้ลูกกินในวันพรุ่งนี้ ด้วยความรักลูกมากผู้แม่จึงยอมที่จะอด หวังเพียงเพื่อให้ลูกของตนได้มีข้าวกินในวันต่อไป และยายบัวก็มานั่งคอยกล้าอยู่หน้าบ้านด้วยความเป็นห่วงโดยที่ไม่รู้สึกโกรธลูกแม้แต่นิดเดียว รอแล้ว..รอเล่า จนถึงตีสองก็แล้ว ลูกก็ยังไม่กลับมาอีก ยายบัวก็เผลอหลับอยู่ที่บันไดขึ้นบ้านจนถึงรุ่งเช้า พอตื่นขึ้นก็ได้แลเห็นลูกเดินกลับมาพอดี ยายบัวจึงได้วิ่งเข้าไปกอดลูกแล้วบอกกับลูกว่า
 
        “กล้า...ไปไหนมาทั้งคืนเลยลูก...รู้ไหมว่าแม่เป็นห่วงมาก”
 
        “โอ้ย...อย่ามายุ่งได้ไหม....รำคาญ..” กล้าทำหน้าตาเหม่อลอยบ่งบอกให้รู้ว่ายังไม่หายเมา 
 
        “แม่....เอาเงินมาให้หน่อยดิ...จะเอาไปกินเหล้า...” 
 
        “แม่...ไม่มีเลยลูก” ยายบัวพูดพร้อมกับจับดูเงินตัวเองอยู่ในกระเป๋าเสื้อ  
 
        “ไม่ต้องมาโกหก เงินที่ไปทำงานมาเมื่อวานเอาไปไหน...เอามา” กล้าพูดพลางกับค้นตัวเพื่อแย่งเงินจากยายบัวผู้เป็นแม่จะเอาไปกินเหล้า 
 
       “อย่านะ...อย่าเอาไปนะลูก..แม่จะเอาไปซื้อข้าวให้ลูกกิน” ยายบัวร้องบอกกล้าพร้อมแสดงท่าทางต่อต้านที่จะไม่ให้กล้าเอาเงินไป แต่กล้าก็ไม่ยอม หวังจะเอาเงินให้จนได้ จึงได้ผลักแม่ล้มไป และหยิบเอาเงินไปกินเหล้าตามเคย ด้วยความท้อใจที่ยายบัวรู้สึกเจ็บปวดทั้งร่างกายและหัวใจ จึงทำให้ร้องด่าขณะที่กล้ากำลังเดินออกจากบ้าน 
 
       “ไอ้ลูกชั่ว...กูพยายามเลี้ยงมึงมา..สอนมึงมา แต่ทำไมมึงกลับไม่รักดี คอยดูนะถ้ามึงเป็นอะไรมา กูจะไม่มองหน้ามึงเลยและก็จะไม่ช่วยเหลือมึงเลย” ยายบัวร้องด่าด้วยความรู้สึกที่แสนเจ็บปวด พร้อมทั้งน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาอาบหน้าทั้งสองแก้ม พลางขาทรุดลงเข่านั่งกับพื้น
 
        ส่วนกล้าหลังจากได้เงินแล้วก็ได้ไปนั่งดื่มเหล้ากับเพื่อนตามปกติ แต่ในวันนั้นได้มีเด็กวัยรุ่นอีกกลุ่มหนึ่งมานั่งดื่มเหล้าอยู่ข้างๆกลุ่มของกล้า ระหว่างการดื่มเหล้าในครั้งนั้นจึงได้เกิดการทะเลาะวิวาทกันระหว่างเด็กสองกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นเหตุให้เด็กทั้งสองกลุ่มนี้ถูกตำรวจจับและนำตัวกล้าและเพื่อนๆ ไปขังไว้ในห้องขังที่โรงพัก  
 
        และแล้วคนแรกที่เข้าไปเยี่ยมกล้านั้นไม่ใช่แฟนและเพื่อนของกล้า แต่เป็นผู้หญิงแก่ๆ ใบหน้าเหี่ยวย้น ที่มีความรักให้กล้าจากก้นบึ้งของหัวใจจริงๆ ถือปิ่นโตเข้าไปเยี่ยมลูกด้วยความเป็นห่วงเป็นใย นั่นก็คือแม่ของเขาเอง ถึงแม้ยายบัวจะเคยบอกว่า “ถ้ามึงเป็นอะไรมา กูจะไม่มองหน้ามึงเลย ไอ้ลูกชั่ว” แต่ด้วยความรักที่มีต่อลูก ยายบัวก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะเลือดย่อมข้นกว่าน้ำเสมอ พอกล้ามองเห็นหน้าแม่ก็รู้สึกดีใจ ยิ้มพร้อมกับน้ำตาด้วยความรักและรู้สึกสำนึกผิดในสิ่งที่เคยทำกับแม่
 
        “แม่ครับ...ผมขอโทษ” กล้าพูดพร้อมกับยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา 
 
        “โธ่...พ่อคุณ..แม่ไม่เคยโกรธลูกเลย...แม่จะรีบหาเงินมาประกันตัวของลูกออกไปนะ” กล้ามองหน้าแม่ด้วยความปลาบปลื้มในความเป็นห่วงของแม่ และตระหนักถึงบุญคุณของแม่ และได้คุยกับแม่ด้วยความปลื้มปีติจนกระทั้งยายบัวก็ได้ลากล้ากลับบ้าน และได้ตั้งหน้าตั้งตาทำงานหาเงินเพื่อที่จะไปประกันตัวกล้าออกมา ยายบัวก็เริ่มเก็บเงินได้จำนวนหนึ่งเพราะเนื่องจากว่าไม่มีกล้ามาคอยขโมยไปดื่มเหล้า จึงทำให้ยายบัวเก็บเงินได้เร็วกว่าปกติ
 
        6 เดือนผ่านไป ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ ด้วยพระเมตตาและบารมีของพระองค์จึงได้มีการพระราชทานอภัยโทษแก่เหล่านักโทษทั้งหลาย ที่ยังพอมีความดีสามารถกลับตัวและช่วยเหลือสังคมได้ เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ จึงได้ติดต่อไปหายายบัวบอกให้มารับตัวของลูกชายในวันรุ่งขึ้น ด้วยความดีใจมาก ยายบัวก็ได้นำเงินไปซื้อเสื้อและกางเกงใหม่พร้อมกับทำอาหารที่ลูกชอบใส่ในปิ่นโต และถือไปให้ในวันรุ่งเช้า พอยายบัวไปถึงกรมราชทัณฑ์ จึงได้นั่งรออยู่ข้างหน้า หวังที่จะพบและรับลูกชายตัวเองกลับบ้าน ยายบัวก็คอยแล้ว..คอยเล่า เวลาผ่านไป 2 ชั่งโมงก็แล้ว ผ่านไป 4 ชั่วโมงก็แล้ว ยังไม่เห็นลูกชายออกมาอีก จึงได้เดินเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ว่า
 
        “เห็นลูกชายของฉันที่ชื่อกล้าไหมค่ะ..เห็นว่าเขาพ้นโทษวันนี้ไม่ใช่หรอค่ะ” เจ้าหน้าที่จึงเดินเข้าไปเช็คดูแล้วกลับมาบอกว่า
 
        “เออ...นักโทษชื่อนี้ได้ชกต่อยกับเพื่อนนักโทษด้วยกันเมื่อคืน จึงต้องจับตัวกุมขังไว้ต่อไป” พอยายบัวได้ฟังดังนั้นก็ทรุดตัวลงกับพื้น พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยความผิดหวังอีกครั้ง อีกทั้งปิ่นโตและเสื้อกางเกงก็หล่นลงกระจัดกระจายอยู่ตรงนั้น ยายบัวรู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้เห็นลูกของตนเองและพอเริ่มทำใจได้ก็เก็บข้าวของเดินกลับบ้านด้วยอาการที่เหม่อลอย และไม่ทันระวังเวลาที่เดินข้ามถนนจึงทำให้ยายบัวถูกรถชนเสียชีวิตทันทีอยู่ตรงนั้นเอง ฝ่ายเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์เห็นดังนั้นจึงรีบให้นายกล้าผู้เป็นลูกออกมาดูแม่ ร่างกายของหญิงชราที่นอนจมกองเลือดอยู่นั้นคือแม่ของกล้า กล้ารีบวิ่งเข้าไปกอดร่างของแม่พร้อมกับร้องไห้ด้วยความเสียใจอย่างใหญ่หลวง
 
คุณจะรู้ว่าสิ่งใดสำคัญ ก็ต่อเมื่อเราต้องเสียมันไป ซึ่งมันไม่สามารถเรียกให้หวนกลับคืนมาได้
คุณจะรู้ว่าสิ่งใดสำคัญ ก็ต่อเมื่อเราต้องเสียมันไป ซึ่งมันไม่สามารถเรียกให้หวนกลับคืนมาได้
  
        “แม่..ตื่นขึ้นมาสิ..อย่าทิ้งผมไป ต่อไปนี้ผมจะอยู่กับใคร” กล้าพูดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาดุจสายเลือดแห่งความเจ็บปวด จะปลุกให้แม่ลุกขึ้นมาก็ไม่ได้ จะทำความดีให้แม่ภาคภูมิใจในตัวของตนเองมันก็สายเกินไป กล้าได้แต่เฝ้าเสียใจกอดร่างของแม่ที่ไร้วิญญานของแม่ ในมือของแม่นั้นกำเสื้อใหม่ที่แม่ซื้อให้กล้าอย่างแน่นหมายให้รู้ว่าตั้งใจที่จะมอบสิ่งนั้นให้กับกล้า กล้ารู้สึกสำนึกผิดในสิ่งที่ตนเคยทำและอยากจะย้อนกลับไปตอนที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วตอบแทนพระคุณของแม่  โอกาสแบบนั้นก็ไม่มีกับกล้าอีกแล้ว กล้าไม่มีแม่อีกแล้ว คุณจะรู้ว่าสิ่งใดสำคัญ ก็ต่อเมื่อเราต้องเสียมันไป ซึ่งมันไม่สามารถจะเรียกให้หวนกลับคืนมาได้ มันก็เดินทางไปของมัน เหมือนวันเวลาที่ไม่เคยหยุดที่จะคอยใคร
 
 
แม่ให้อะไรบ้าง?
 
        (เรียงความวันแม่) เสียงดังอึกกระทึกจากภายนอก ถูกส่งเข้ามาในห้องสีเหลี่ยมแสนจะเรียบง่ายที่อยู่คนเดียวได้อย่างสบาย นับเป็นเรื่องปกติธรรมดาของห้องพักอาคารชุดใจกลางเมืองหลวง ที่ซึ่งความสะดวกสบายมาคู่กับความวุ่นวายและหลงลืมโลกภายนอกเสมอ
 
        ชายหนุ่มในชุดเสื้อแขนยาวกางเกงขายาว ตามแบบอย่างทั่วไปของผู้ทำงานออฟฟิส ผู้มีใบหน้าผ่อนคลายกำลังหัวเราะอย่างสบายอารมณ์กับรายการโทรทัศน์กับเครื่องที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่กี่สองเมตร วันนี้เป็นวันที่แปลกประหลาดสำหรับเขาหลังจากทำงานเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่ซึ่งรับเขาเข้าทำงานหลังจากได้รับปริญญา 2 อาทิตย์ด้วยเหตุผลบางอย่าง
 
        “วันนี้ เราเคลียร์งานในออฟฟิสหมดแล้ว ชั่งไม่น่าเชื่อเลยว่าวันนี้เราไม่มีงานมาทำต่อที่บ้านเหมือนวันก่อนๆ” เขานึกอย่างสบายใจ
 
        ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายกับวันแรก ที่เขาไม่ต้องนำงานมาทำต่อที่ห้องของตัวเอง  เนื่องจากการที่เขากรอกในใบสมัครว่าเขาสามารถทำงานล่วงเวลาและยินดีจะช่วยงานเร่งด่วนของบริษัทหากไม่มีผู้ใดอยากทำ
 
        โทรทัศน์ถูกปิดลง เขาเดินไปยังห้องครัวเล็กๆ สีฟ้าอ่อน ที่ถูกแบ่งไว้เป็นห้องเล็กๆติดกับห้องน้ำและขั้นด้วยระเบียงยื่นไปภายนอกที่เห็นวิวทิวทัศน์ ตึกในเมืองหลวงและถนนเบื้องล่างที่มีรถวิ่งอย่างแออัดตลอดทั้งวัน เขากำลังใช้ความคิดอย่างช้าๆ
 
        “ชีวิตเราชั่งน่าชื่นชมเสียจริง นึกไปนึกมาแล้วเราเรียนจบมาก็หางานทำได้เลย สิ่งของอำนวยความสะดวกในห้องนี้ เราทำงานอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยน้ำพักน้ำแรงเราคนเดียว” เขานึกอย่างภาคภูมิใจพร้อมกับกดน้ำร้อนใส่แก้วชา ที่ผสมนมอุ่นๆ เพื่อมานั่งจิบที่ริมระเบียง
 
        สายลมพัดบนตึกสูงยามเย็น พัดเข้ามาปะทะกับอารมณ์ที่ผ่อนคลายกังวล เขาลืมเรื่องงานทั้งหมดหรืออาจลืมบางคนที่เขาเกี่ยวข้องด้วย ท่ามกลางอารมณ์ที่แสนสบาย หลุดออกจากอาการเหนื่อยล้า เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอย่างสงสัยว่าเบอร์คุ้นๆ ที่เขาเห็นอยู่นี้โทรมาด้วยเรื่องอะไร?
 
        “พี่ๆ ทำอะไรอยู่” เสียงหญิงสาวอีกฝั่งพูดดังขึ้นมา
 
        “ไม่ได้ทำอะไร พี่นั่งเล่นอยู่ในห้องคนเดียว เธอมีอะไรหรือเปล่า?” เขาสงสัยต่อไปว่าน้องสาวของเขาจะพูดอะไรต่อไป
 
        “พ่อโทรมาหาหนูบอกว่าแม่อยากเจอพี่กับหนูมาก ให้ขับรถไปหาพรุ่งนี้เลย”
 
        “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า ?”
 
        “ไม่รู้เหมือนกัน แต่น้ำเสียงของพ่อดูนิ่งๆ เศร้าๆ ยังไงไม่รู้" น้องสาวพูดต่อ
 
        “พรุ่งนี้ 8 โมงเช้าพี่ขับรถมารับหนูที่หน้าปากซอยหอพักหนูด้วยนะ แค่นี้ก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกัน”
 
        “เดี๋ยว! เดี๋ยว!” พี่ชายพูดขึ้น แต่อีกฝ่ายวางสายไปแล้ว รู้สึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นคิดในใจอย่างงุนงง ทันทีที่เขารู้สึกตัวอีกทีก็รีบเดินเข้าห้องปิดประตูกระจกที่ริมระเบียง ลาภาพวิวอันสวยงามไว้เบื้องหลัง เขารีบอาบน้ำและเข้านอนอย่างรวดเร็ว
 
        เขาตื่นเช้ามาอย่างสงสัยข้องใจ แต่ก็รีบลุกจากเตียงอาบน้ำแต่งตัวอย่างเร่งรีบ  แต่งตัวในชุดสบาย แต่มีสีหน้าที่ขุ่นเคืองที่ต้องออกจากห้องไป โดยที่ไม่ได้ไปทำงาน แต่ไปที่อื่น
 
        รถเก๋งสีบรอนซ์สะท้อนสายตา แล่นเข้ามาริมฟุตบาท เขาขับอย่างใจเย็นและหยุดรถเพื่อให้หญิงสาวที่ยืนรออยู่ขึ้นรถ หญิงสาวเปิดประตูเข้ามานั่งด้วยสีหน้าโกรธเคืองและเหนื่อยล้า
 
        “พี่ทำอะไรอยู่ หนูมารอพี่ตั้งแต่ 7 โมงครึ่งแล้ว” น้องสาวของเขาเองระบาย
 
        “นี่เธอจะรีบอะไรหนักหนา แม่เขาไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย เขาก็เรียกเราเพราะอยู่ดีๆ เขาก็คงอยากเห็นหน้าเราขึ้นมากะทันหันแค่นั้นแหละ” พี่ชายตอบกลับ
 
        รถแล่นออกไปอย่างช้าๆ มุ่งสู่เส้นทางสายออกจากตัวเมือง ถนนสายนี้ทอดผ่านที่ซึ่งเต็มไปด้วยอาคารสูงผู้คนหนาแน่นไปสู่อีกที่หนึ่ง
 
        “เธอรู้อะไรไหม กว่าพี่จะขอลางานกับหัวหน้าได้ พี่โกหกเขาไปว่าแม่ไม่สบายมาก พี่ถึงจะขอลางานได้” พี่ชายบ่นให้น้องฟัง
 
        “พี่จำได้ไหมสมัยเด็กๆ แม่เล่าให้หนูฟังว่าวันแรกที่พี่ไปโรงเรียน พี่ร้องไห้อยากกลับบ้านตอนเที่ยง แม่ก็รีบลางานขับรถไปรับพี่เลยนะ” น้องสาวเล่าให้ฟังบ้าง
 
        “ก็ตอนนั้น พี่ยังเด็ก แล้วใครๆ เขาก็ร้องไห้กันทั้งนั้นแหละ แต่ตอนนี้เธอรู้ไหมว่าใกล้จะสิ้นปีแล้ว บริษัทเขาจะประเมินการทำงาน ยิ่งพี่มาหยุดตอนนี้นะ พี่อดได้โบนัสแน่ๆ ทั้งๆ ที่ทำงานเป็นปีแรกแท้ๆ เลย” พี่ชายบ่นไป ขับรถไป น้องสาวทำหน้างุนงง
 
        “เรื่องนี้บริษัทเขาคงเข้าใจพี่แหละนะ พี่เองจำได้ไหมละว่าครั้งหนึ่งแม่เขาเคยไม่ยอมเลื่อนตำแหน่ง เพราะว่าตำแหน่งนั้นมันต้องกลับบ้าน 3 ทุ่ม ทุกวัน  เพราะแม่เขาอยากรีบเลิกงานเพื่อมารับพี่กับหนูเองทุกวัน” พี่ชายพูดต่อทันที
 
        “อันนั้นมันก็ใช่นะ แต่ตอนนั้น พี่กับเธอเป็นคนขอร้องแม่เองนี่ เพราะเราไม่อยากกลับรถโรงเรียนเพราะเราทั้งสองคนไม่ชอบลุงคนขับ” ภาพบ้านเรือนริมสองฝั่งถนนเริ่มบางตาลง จากถนนที่เต็มไปด้วยตึกสูงมากมายมาสู่ดินแดนที่บ้านแต่ละหลังปลูกห่างกัน ความหนาแน่นสลายตัวไป ความเบาบางปรากฏตัวขึ้นแทนที่
 
        “พี่ยังจำตอนที่พี่ไปขอแม่เรียนพิเศษได้ไหม แม่เขาเล่าให้หนูฟังว่าค่าเรียนพิเศษแพงมาก แต่แม่ก็เอาเงินที่ฝากธนาคารไว้ตั้งแต่แต่งงานกับพ่อใหม่ๆ ถอนออกมาจ่ายเป็นค่าเรียนพิเศษให้พี่ทุกเดือน” น้องสาวเล่าย้อนหลัง
 
        “เธอก็ไม่รู้หรอกว่า คนที่เรียน ม.ปลาย สมัยนั้น ถ้าอยากจะแข่งกับคนอื่นได้ก็ต้องเรียนพิเศษเสริมกันทั้งนั้น” พี่ชายให้เหตุผล
 
        “แต่หนูก็ไม่ได้เรียนนะพี่ หนูก็ยังเรียนในโรงเรียนกับเพื่อนเป็นปกติ เพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัยของหนู เขาก็ไม่ได้เรียนพิเศษกันทั้งนั้น”
 
        “ก็เธอเป็นผู้หญิงนี่ แล้วเธอก็ไม่ได้สนใจเรียนสักเท่าไหร่ พี่เห็นเธอแต่งตัวสวยไปวันๆ เวลาเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัย เธอเองก็คิดแค่ว่าเรียนที่ไหนก็ได้ขอแค่ได้ใส่ชุดนักศึกษาก็พอแล้ว”
 
        “แต่หนูก็เรียนที่เดียวกับที่พี่จบมานะ” น้องสาวแย้ง
 
        “เธอก็เห็นดีนี่ว่ามหาวิทยาลัย ผ่อนคลายกฎหลายๆ อย่างทำให้เด็กหัวกลางๆ ก็สอบเข้าได้ มันไม่ใช่เรื่องที่เธอจะมาว่าพี่เรื่องเรียนพิเศษเลยนะ แม่ใครเขาก็ให้ลูกเรียนทั้งนั้น” พี่ชายเริ่มมีสีหน้าไม่พอใจ
 
        “รถคันที่ขับอยู่ทุกวันนี้ แม่ก็เป็นคนซื้อให้พี่ เพราะพี่ไปขอแม่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย หนูคิดว่ามันไม่จำเป็นเลย พี่หาเงินเองไม่ได้สักบาทเดียว แต่พี่ก็ยังไปขอให้แม่ซื้อให้ เพียงเพื่อจะได้มีรถขับเหมือนคนอื่นเขา หนูเองยังนั่งรถเมลล์ไปเรียนเองทุกวันเลย”
 
        “ก็แม่เป็นแม่ของเรานี่ ถ้าไม่ให้พี่ขอแม่ จะให้พี่ไปขอใคร แล้วรถมันก็จำเป็นด้วย”
 
        “แล้วทำไมพี่ถึงไม่รู้สึกร้อนใจอะไรเลย ทั้งๆ ที่แม่อยากเจอหน้าเรา แม่เขาเคยบ่นกับหนูว่าแม่เป็นห่วงพี่ แต่เขาไม่กล้าโทรหาพี่ เพราะกลัวพี่ทำงานยุ่ง พี่เองพอทำงานแล้วก็ไม่เห็นไปเยี่ยมแม่เลย” น้องสาวพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือขึ้น
 
        “เธอเองก็เห็นนี่ว่าพี่เพิ่งทำงานปีแรก พี่ก็ต้องทำงานหนักเพื่อจะหาเงินมาซื้อบ้านหลังแรกในชีวิตพี่ บ้านแม่ก็อยู่แค่ชานเมือง ใกล้แค่นี้เอง แม่จะเป็นห่วงพี่ทำไม” น้ำสียงพี่ชายเริ่มสั่น
 
        “แม่เขารักพี่มากรู้ไหม มีอีกเรื่องที่พี่อาจจะลืมคิดไปนะ” น้องพูดต่อ
 
        “พี่จำวันรับปริญญาได้ไหม ตอนถ่ายรูป แทนที่พี่จะถ่ายรูปกับแม่เป็นคนแรก แต่พี่กลับถ่ายกับแฟนของพี่ก่อน แต่แม่ก็ไม่ได้น้อยใจอะไรพี่นะ แต่กลับบอกให้หนูดูพี่เป็นตัวอย่างที่ตั้งใจเรียนจนเรียนจบ” น้องสาวพูดจบ แววตาแฝงไปด้วยความเศร้า ว่างเปล่า และเร่งรีบอยากจะเจอแม่เร็วๆ พี่น้ำตาเริ่มไหลออกมาสู่ภายนอกแต่ที่มานั้นอาจจะออกมาจากหัวใจ
 
        ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มขึ้น ลมพัดแรง พัดใบไม้ให้ลอยปลิวไปทั่ว ต้นไม้ข้างทางเริ่มสั่นไหวเข้าไปกับอารมณ์ที่อ่อนไหวของผู้ขับรถคันนี้ ความมืดปกคลุมไปทั่ว ทั้งสองเงียบลง บรรยากาศภายรถเต็มไปด้วยความว่างเปล่าและเร่งรีบ พี่ชายรีบเร่งคันเร่ง ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นที่เครื่องของน้องสาว
 
        “ฮัลโหล พ่อหรอคะ? หนูกับพี่กำลังรีบไปคะ” เสียงของน้องสาวดังขึ้นและหยุดลง เสียงอีกฝ่ายหนึ่งดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบา
 
        “แม่เขาไข้ขึ้นสูงมาก แต่ไม่ยอมไปหาหมอเลย รีบมากันเร็วๆ นะ แม่เขาบ่นแต่ชื่อของลูก” ทันทีที่เสียงอีกฝ่ายเงียบลง น้ำตาจากคลอเบ้าเริ่มไหลออกมาอย่างไม่ขาดสายเมื่อไปรวมกับความรู้สึกคิดถึงแม่
         
        รถแล่นเข้าไปบ้านหลังเดิมที่คุ้นเคยของทั้งสองอย่างช้าๆ พี่ชายและน้องสาวรีบลงจากรถและรีบเข้าไปในบ้านที่ห้องนอนของแม่ ทันทีที่เห็นแม่ ทั้งสองรีบโผไปกอดร่างแม่ที่นอนด้วยความเหนื่อยล้า และใบหน้าที่ซีดอยู่บนเตียงที่พ่อยืนอยู่ข้างๆ
 
        “แม่..แม่..แม่เป็นอะไร ทำไมไม่ไม่รีบบอกผม” พี่ชายรีบพูดขึ้นขณะมองไปที่ใบหน้าของแม่
 
        “แม่พูดไม่ได้เลย พ่อจะพาไปหาหมอแม่ก็บอกว่าขอเจอหน้าลูกก่อน” พ่อบอกลูกทั้งสอง ทันใดนั้นใบหน้าของแม่เริ่มหันมาหาลูกชายอย่างช้าๆ พยายามสุดกำลังที่ยกมือชี้ไปที่กระดาษแผ่นหนึ่งที่วางอยู่โต๊ะใกล้ๆ
 
สิ่งที่แม่เคยทำเพื่อลูก แล้วลูกให้อะไรแม่ได้บ้าง
สิ่งที่แม่เคยทำเพื่อลูก แล้วลูกให้อะไรแม่ได้บ้าง
 
        ลูกชายรีบไปหยิบใบนั้นขึ้นมาก็พบว่ามันคือใบโอนบ้านซึ่งแม่ซื้อไว้ที่กลางเมืองเพื่อไว้ให้ลูกชายเมื่อวันหนึ่งที่ลูกเรียนจบแล้ว น้ำตาไหลออกมาจากทั้งสองดวงตาของลูกชาย เขามองไปที่ใบหน้าของแม่ ทันใดนั้นดวงตาของแม่ก็ค่อยๆ อ่อยแรงและหลับลงในที่สุด ทั้งสามคน พ่อ ลูกชายและลูกสาวต่างโผเข้ากอดแม่และเรียกชื่อแม่ ดวงตาของแม่ปิดลงครั้งนี้ไม่มีใครรู้เลยว่าแม่ลืมตามาอีกครั้งหรือไม่ แต่สิ่งที่อยู่ในใจของลูกชายโดยไม่สามารถลืมได้คือ สิ่งที่แม่ทำให้เขามาตลอดทั้งชีวิต...
 
 
ยังจำได้ไหม…  
 
        (เรียงความวันแม่) เมื่อตอนที่คุณยังเด็ก คุณคงมีเรื่องราวน่าประทับใจมากมายที่ไม่อาจจะลืมเลือนได้ และเวลาที่เราได้หวนคิดถึงวันวานที่มีความสุขก็มักจะอมยิ้มไปกับมันอย่างอดไม่ได้ แล้วเรื่องอะไรบ้างที่คุณมักนึกถึงในวัยเด็ก
 
        บัว หญิงสาววัย 32 ปี เธอเป็นอีกคนที่ชอบคิดถึงเรื่องราวในตอนยังเด็ก แม้เวลาล่วงเลยจนถึงวัย 30 กว่าปี บัวทำงานเป็นอาจารย์ระดับ 3 สอนวิชาภาษาไทยในโรงเรียนมัธยมมีชื่อ เธอมีความทรงจำที่น่าคิดถึงในวัยเด็กมากมาย บ่อยครั้งที่หญิงสาวนำประสบการณ์ของเธอถ่ายทอดสู่ลูกศิษย์ในชั้นเรียน เด็กๆในชั้นดูเหมือนจะสนใจและตั้งใจฟังเรื่องราวที่ครูบัวเล่าให้ฟัง บางคนชื่นชอบขนาดขอให้ครูบัวเล่าให้ฟังนอกเวลาเรียนก็มี บัวหวังว่าเรื่องราวของเธอน่าที่จะจดจำและเป็นประโยชน์ต่อเหล่านักเรียนวัยรุ่น อย่างน้อยก็ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เธอรับหน้าที่สอนอยู่
 
        “ครูบัว ครูบัว” เสียงเล็กดังขึ้นข้ามสนามฟุตบอลมายังหญิงสาว เด็กน้อยตะโกนเสียจนผู้เป็นครูต้องยกมือขึ้นห้ามปราม
 
        “เบาๆหน่อยสุดา เธอไม่ควรตะโกนเสียงดังในโรงเรียนแบบนี้นะ มีอะไรเดินมาคุยกับครูใกล้ๆสิ” ครูสาวเอ็ดเบาๆ สุดาได้แต่ยิ้มแหยๆ พาลคิดไปว่าครูกำลังดุ บัวมองหน้าเด็กหญิงก่อนจะระบายยิ้มปลอบใจ
 
        “นี่ก็เย็นแล้วยังไม่กลับอีกเหรอนักเรียน มีธุระอะไรกับครูหรือเปล่าจ๊ะ”
 
        “เอ่อ ครู ครูคะ คือพรุ่งนี้หนูจะขอลากิจไปทำธุระกับที่บ้าน หนูมาส่งเรียงความที่ครูสั่งไม่ได้ หนูขอเลื่อนไปส่งวันพุธแทนได้ไหมคะ” สุดาเอ่ยไม่เต็มเสียง คงไม่กล้าคาดหวังกับคำตอบของครูมากนัก ครูอาจจะดุและไม่ให้ส่งนอกเวลากำหนดก็เป็นได้
 
        “มีจดหมายลากิจจากผู้ปกครองไหมล่ะสุดา” ครูบัวแบมืออย่างใจดี “ถ้ามี ครูจะพิจารณาอีกที”
 
        “มีค่ะ มี” เด็กน้อยรีบลนลานหยิบจดหมายในกระเป๋าราวกับกลัวครูจะเปลี่ยนใจ พลันทำให้บัวคิดว่าเธอเป็นครูที่ดุไปหรือเปล่า เด็กนักเรียนจึงเกิดอาการเกร็งขนาดนี้
 
        หลังจากคุยกับสุดาต่อสักพัก ก็ต้องขอตัวกลับบ้านเพราะรถประจำทางมาถึงพอดี ภายในรถประจำทางไม่เบียดเสียดมากนัก บัวเลือกนั่งเก้าอี้เดี่ยว ลมเย็นพัดโกรกปะทะใบหน้าให้ความรู้สึกเย็นชื้นๆ รถแล่นไปเรื่อยๆติดจะรำคาญตรงที่จอดบ่อยๆแม้ป้ายนั้นจะไม่มีคนขึ้น-ลงก็ตาม บัวมองออกไปภายนอกหน้าต่างที่เต็มไปด้วยรถราและร้านรวงมากมาย รถแล่นเลยผ่านร้านข้าวมันไก่เจ๊หงที่ขึ้นชื่อว่าอร่อย ชวนให้นึกถึงสมัยเด็กๆ บัวมักจะอ้อนให้แม่ซื้อให้กินเสมอเวลาที่ผ่านหน้าร้านนี้
 
        “แม่จ๋า อยากกินข้าวมันไก่ร้านนี้ แม่ซื้อให้บัวหน่อยนะ นะ” เด็กหญิงผิวขาว อวบ วัย 7 ขวบ กำลังยื้อแขนแม่ที่กำลังเดินเพื่ออ้อนซื้อข้าวมันไก่ เธอหยุดเท้าไว้กับที่ไม่ยอมขยับไปไหนแม้ผู้เป็นแม่จะออกแรงดึงก็ตาม 
 
        “บัวลูก แม่ทำกับข้าวไว้เยอะเลย ทั้งแกงจืดลูกชิ้นปลา ไข่เจียวหมูสับ แล้วก็มีหมูทอดด้วยนะลูก ” คนเป็นแม่พูดปลอบประโลมเด็กหญิงที่เริ่มจะเบะปาก ชักสีหน้าไม่พอใจ “กลับไปกินข้าวบ้านเถอะลูก กินข้าวมันไก่แล้วจะอ้วน เดี๋ยวไม่สวยนะ” 
 
        “ไม่เอา ไม่เอา ของเหลือจากแผงของแม่ทั้งนั้น หนูกินทุกวัน เบื่อแล้ว หนูจะกินข้าวมันไก่” เจ้าตัวน้อยโวยวายลั่น แผลงฤทธิ์กระทืบเท้าเร่าๆจนผู้เป็นแม่ต้องตัดสินใจอุ้มหนี แต่ก็ไม่วายร้องไห้โยเย มือน้อยๆพลางทุบตีแม่เมื่อโดนขัดใจ 
 
        หญิงสาวถอนหายใจก่อนจะมองไปภายนอกหน้าต่างอีกครั้ง ตอนเด็กเธอช่างขี้โมโหและเอาแต่ใจเสียเหลือเกิน แม่ตัวเองขายข้าวแกงแท้ๆ แต่ยังร้องกินข้าวมันไก่ ช่างน่าตีจริงๆ
 
        รถประจำทางจอดลงที่ป้ายหยุดรถตรงหน้าตึกสีขาว บัวก้าวลงจากรถประจำทางมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวตึก ภายในมีผู้คนและเสียงจอแจ แต่ก็ไม่ดังจนหน้ารำคาญ สองเท้าค่อยๆเคลื่อนที่มาหยุดยังหน้าลิฟต์ รอไม่นานนักลิฟต์ก็ลงมาหยุดแล้วเปิดประตูพาเธอไปส่งยังชั้น 6 ตามหน้าที่ของมัน
 
        “สวัสดีค่ะ แม่” บัวทักทายหญิงชราตรงหน้าที่กำลังนั่งเอนหลังอยู่ ผู้เป็นแม่แย้มยิ้มก่อนจะทักทายบุตรสาว
 
        “กลับมาแล้วเหรอบัว เหนื่อยไหมลูก ” แม่ค่อยๆเคลื่อนกายเพื่อรินน้ำเย็นในตู้เย็นใส่แก้วยื่นให้กับลูกสาว บัวยิ้มปลื้ม แม่ใส่ใจและรินน้ำให้เธอทุกครั้งหลังจากกลับจากทำงาน
 
        “ขอบคุณค่ะ แม่ แม่กินข้าวหรือยังคะ” ผู้เป็นแม่ส่ายหน้ายิ้มๆ “ยังหรอกลูก แม่รอกินพร้อมบัว”
 
        “แม่คะ นี่มันเย็นแล้วนะคะ วันหลังแม่กินก่อนได้เลยไม่ต้องรอบัว” หญิงสาวรู้สึกผิดที่มัวทำงานเพลินจนกลับบ้านเย็น ทำให้แม่ยังไม่ได้กินข้าว
 
        “เดี๋ยวบัวสั่งข้าวต้มปลาป้าพรขึ้นมาให้แม่กินนะ พักนี้แม่เจ็บคอ กินอะไรร้อนๆ จะได้โล่งคอนะคะ” บัวเดินไปโทรศัพท์หาร้านอาหารตามสั่งที่สนิทกันในชั้นล่าง สั่งข้าวต้มปลาและก็ข้าวกระเพราไก่ไข่ดาว
 
        บัวเดินไปหาแม่ที่นั่งอยู่ เธอนั่งเอาศีรษะซุกลงกับตักแม่ราวกับเด็กๆ แม่ลูบหัวเธออย่างแผ่วเบา บัวจับมือแม่ขึ้นมาหอม มือสองมือหยาบกร้านแห้งผาก มือสองมือที่ทนลำบากมาทั้งชีวิต และมือสองมือที่สร้างเธอให้มายืนยังจุดนี้ได้
 
        “แม่คะ วันนี้บัวผ่านร้านข้าวมันไก่เจ๊หง หนูนึกถึงตอนเด็กๆ ที่ชอบอ้อนให้แม่ซื้อให้”
 
        “พอแม่ไม่ซื้อ บัวก็แผลงฤทธิ์ดื้อซะจนบางครั้งแม่ใจอ่อนยอมซื้อให้” แม่พูดเสียงเย็นๆ ใบหน้าเปื้อนยิ้มไปกับอดีตของลูกสาวตัวแสบ
 
        “บัวรู้ค่ะแม่ บัวดื้อมาก แต่ตอนนี้บัวไม่นึกอยากกินข้าวมันไก่เจ๊หง เวลาผ่านเลยนะ บัวกลัวอ้วนแล้วไม่สวยเหมือนที่แม่เคยบอก” หญิงสาวหัวเราะจนผู้เป็นแม่พลอยยิ้มตามไปด้วย
 
        “บัวอยากกินกับข้าวฝีมือแม่นะ” บัวเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่แผ่วเบา
 
        ก๊อก ก๊อก ก๊อก “อาหารที่สั่งมาส่งแล้วจ้า”
 
        บัว เดินไปเปิดประตูรับอาหาร หญิงสาวเดินไปเอาถ้วยกับจานมาใส่กับข้าว ได้ยินเสียงแม่ไอเป็นระยะ แม่คงจะเจ็บคอมาก เธอจัดการเทข้าวต้มปลาร้อนๆ ใส่ถ้วย พร้อมทั้งเทข้าวกระเพราไก่จากกล่องโฟมสู่จานอย่างเรียบร้อย
 
        “แม่คะ กินข้าวต้มร้อนๆ หน่อยนะจะได้หายเจ็บคอ” แม่พยักหน้าก่อนจะค่อยๆ หยิบช้อนตักข้าวต้มเข้าปาก ไม่รู้ทำไมบัวถึงรู้สึกอยากป้อนข้าวให้กับแม่ของเธอเหลือเกิน
 
        “ค่อยๆ กินนะแม่ ข้าวต้มมันร้อนไม่ต้องรีบหรอก”
 
        “ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง เด็กนักเรียนดื้อไหม” แม่วกกลับมาถามชีวิตการทำงานของบัว แม่คงไม่อยากให้บัวสนใจการกินข้าวของแม่มากนัก แม่ยังเป็นแม่ที่ห่วงบัวมากกว่าห่วงตัวเองเหมือนเคย
 
        “ก็ดีนะคะ เด็กนักเรียนส่วนใหญ่ตั้งใจเรียน มีบ้างที่ดื้อ แต่ก็คงน้อยกว่าบัวตอนเด็กๆ” หญิงสาวพูดแกมขำน้อยๆ ยินเสียงแม่กระแอมไอ
 
        “นั่นสินะ บัวน่ะดื้อที่สุด ไม่งั้นคงไม่มีแผลเป็นเต็มตัวหรอก” แม่พูดเสียงเนิบ
 
        “แผลที่หัวนั่นก็เหมือนกัน”
 
        “ป้านวล! ป้านวล! ป้านวลจ๊ะ” เสียงตะโกนของเด็กดังลั่นหน้าบ้าน นวลวางมือจากการทำกับข้าวที่จะเตรียมไปเปิดแผง เดินออกจากครัวไปยังประตูหน้าบ้าน แลเห็นเด็กตัวเล็กๆ เพื่อนเล่นลูกสาวมายืนเรียก รู้สึกกังวลเหมือนมีเรื่องเกิดขึ้น
 
        “มีอะไร เจ้าก้อย” นวลพูดต่อ “มาเอะอะมะเทิ่งอะไรแถวนี้” 
 
        “ไอ้บัว ป้า ไอ้บัวมันตกต้นชมพู่ หัวแตกเลือดไหลใหญ่เลย” เจ้าก้อยรัวพูดแทบไม่หายใจ นวลตกใจมาก รู้สึกหวิวๆ รีบเดินตามเด็กน้อยไปที่ต้นชมพู่ สถานที่เกิดเรื่อง ได้ยินเสียงครวญครางแว่วมา หัวใจแทบหลุดลอยออกจากร่าง 
 
        “โอ๊ย เจ็บ ฮือ ฮือ” นวลรีบปราดเข้าไปประคองลูกที่ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด เลือดไหลอาบเปรอะเปื้อนผสมหยาดน้ำตา นวลยิ่งน้ำตาคลอ รู้สึกเจ็บไปไม่น้อยกว่าลูกเลย 
 
        “บัว อดทนหน่อยนะลูก เดี๋ยวแม่จะพาไปหาหมอ” นวลพูดพลางพยุงลูกอุ้มขึ้น แม้จะหนักแต่เวลานี้เธอกลับไม่รู้สึกหนักเลย ได้ยินเสียงเจ้าก้อยแว่วมา 
 
        “จะไปยังไงดีล่ะป้านวล ลุงชาติก็ไม่อยู่ แถวนี้ยิ่งหารถยากเข้าไปใหญ่” แม้รู้ดีในคำพูดของก้อย ถนนแถบนี้ในยามบ่าย นานๆ จึงจะมีรถราผ่านมา หากขืนรอก็เกรงว่าลูกจะยิ่งแย่ นวลตัดสินใจแบกลูกขึ้นหลัง วานให้เจ้าก้อยวิ่งไปหยิบกระเป๋าสตางค์ในบ้าน แล้วแบกลูกน้อยวิ่งไปยังปากซอยเพื่อหารถแท็กซี่ต่อไปยังโรงพยาบาล 
 
ยังจำได้ไหม
ยังจำได้ไหม
 
        “แม่คะ ตอนนั้นบัวอายุตั้ง 10 ขวบแล้ว แม่แบกบัววิ่งไปหน้าปากซอยตั้งกิโลกว่า แม่คงหนักแย่” บัวกระพริบตาถี่ๆ เรียกภาพความกลับมาทบทวน หากวันนั้นไม่ซนไปปีนต้นชมพู่ แม่ก็คงไม่เหนื่อยแบกเธอวิ่งไปไกลขนาดนี้
 
        “ไม่เป็นไรหรอกบัว” แม่เอื้อมมือมาลูบหัวเธอ
 
        “แม่ไม่อยากให้บัวคิดมาก เรื่องมันผ่านมาแล้ว” บัวพยายามผ่อนอารมณ์ ใช้นิ้วกดหัวตาไว้ไม่ให้น้ำใสๆ ไหลออกมา มันจะยิ่งทำให้แม่ไม่สบายใจมากขึ้น หญิงชราค่อยๆ วางช้อน หยิบผ้าเช็ดปากมาเช็ดเรียบร้อย
 
        “อิ่มแล้วเหรอ” บัวพูดพลางมองชามข้าวต้มที่พร่องไปบ้างแต่ยังไม่หมด
 
        “กินอีกหน่อยไหม” ผู้เป็นแม่ส่ายหน้าพลางตอบเบาๆ ว่าไม่
 
        บัวเก็บถ้วยชามไปล้างยังอ่างล้าง ในสมองขบคิดเรื่องราวต่างๆ ทำไมทุกครั้งที่นึกถึงอดีตวัยเยาว์ หญิงสาวมักต้องมีอาการคล้ายอยากจะร้องไห้ ต้องคอยกลั้นฝืนไว้ ซ้ำภาพที่ปรากฏในมโนสำนึกกลับชัดเจนมาก บัวสะบัดหัวไล่ความคิดของตนก่อนจะก้มลงล้างจานต่อโดยไม่คิดอะไร เสร็จจากล้างจานเธอก็นั่งปอกแอ็ปเปิ้ลจัดใส่จานมาให้แม่รับประทาน
 
        “แม่คะ กินผลไม้หน่อยนะ” บัวเลื่อนจานแอ็ปเปิ้ลให้มารดา สายตาเพิ่งสังเกตเห็นผู้เป็นแม่กำลังมองไปที่กรอบรูปกระจกใส ขนาด 8×10 นิ้ว ที่ใส่กระดาษเกียรติบัตรใบหนึ่ง มองเห็นทั้งด้านหน้าและด้านหลัง หญิงชรากำลังแย้มยิ้มด้วยความภูมิใจในขณะที่ลูกสาวต้องพยายามฝืนกลั้นจนต้องเบือนหน้าหนี
 
        “แม่คะ แม่ ดูนี่สิ บัวประกวดคำขวัญวันแม่ได้รับรางวัลชนะเลิศเลยนะ” เด็กหญิงชูกระดาษแข็งขนาด 8×10 นิ้วในมือ นิ้วป้อมหยิบยื่นกระดาษให้ผู้เป็นแม่ ใบหน้ากลมอมยิ้มแก้มแทบปริ 
 
        “ไหนดูสิลูก” แม่รับกระดาษมาดู ด้านหน้าเขียนประกาศยกย่อง เด็กหญิงบัว สุขอารี ได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดคำขวัญวันแม่ เธอยิ้มและดีใจไปกับลูกสาวที่ยิ้มร่าอย่างมีความสุข
 
        “แล้วหนูเขียนส่งไปว่าอะไรล่ะ” 
 
        “แม่พลิกไปด้านหลังสิ บัวเขียนคำขวัญที่แต่งไว้หลังเกียรติบัตรใบนี้ บัวให้แม่เป็นของขวัญวันแม่นะ ดูเท่กว่าให้การ์ดอวยพรตั้งเยอะ” 
 
        แม่ค่อยๆ พลิกดูเกียรติบัตรด้านหลัง เมื่อเห็นข้อความด้านหลัง เด็กน้อยสังเกตอากัปกริยาของแม่อย่างข้องใจ ทำไมแม่ต้องร้องไห้ด้วยล่ะ แม่น่าจะดีใจสิ เด็กน้อยคิดพลางเดินเข้าไปกอดแม่ของตน 
 
        “รักอื่นสุขบ้างบางเวลา รักมารดาสุขนั้นนิรันดร” 
 
        “รักอื่นสุขบ้างบางเวลา รักมารดาสุขนั้นนิรันดร” บัวเอ่ยคำในกรอบรูปอย่างช้าๆ แม่ยิ้มน้อยๆ มองหน้าบุตรสาวก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนเปลือกตาลง บัวปล่อยน้ำตาให้ไหลอย่างไม่อาย แม่ยังคงภูมิใจในตัวบัวเสมอ แม้จนถึงวันนี้
 
        บัวเดินออกจากห้องพักของแม่อย่างเหม่อลอย สวนทางกับพยาบาลชุดขาวที่เข้าไปวัดไข้และความดันเช่นทุกวัน แม่ป่วยนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลมาถึง 2 ปีแล้ว หลังจากคุณหมอตรวจพบเนื้อร้ายในปอดที่ลุกลามกลายเป็นมะเร็งปอด หมอบอกเพียงให้ทำใจแม่สามารถอยู่ได้ไม่เกิน 1 ปี แต่ก็น่าอัศจรรย์ที่แม่ดำรงตนมาได้ถึง 2 ปีแล้ว คุณหมอเองยังแปลกใจ แต่ถึงอย่างไรก็คงเป็นเพราะแม่เข้มแข็ง มีกำลังใจที่จะต่อสู้กับมัน แม้จะเหลือระยะเวลาของชีวิตอีกไม่นาน
 
        แม่ไม่เคยพูดถึงอาการเจ็บป่วยของตัวเองเลย บัวเองก็ไม่เคยปริปากเช่นกัน ต่างคนต่างรับรู้อยู่แก่ใจ
 
        ค่ำคืนที่หนาวเหน็บ เสียงพระสวดอภิธรรมดังกังวานก้องไปทั่วศาลา ฉันยกมือพนมรับ ดวงตาเรียวยังคงจ้องมองที่รูปถ่ายของนางนวล สุขอารี ผู้เป็นแม่ หญิงชราได้จากไปแล้ว แม่กลายเป็นความทรงจำอีกครั้งที่ทำให้ฉันนึกถึง แม่ทำให้ฉันตอบคำถามของตัวเองได้ว่า ทำไมทุกครั้งที่ฉันคิดถึงเรื่องราวในวัยเยาว์ ฉันมักอยากจะร้องไห้ทุกครั้ง
 
        เพราะทุกครั้งที่นึกถึง ฉันจะมองเห็นความรักของแม่ที่มีให้ฉันมาตลอด แต่ทว่าตัวฉันกลับไม่เคยมองเห็นความรักของตัวเองที่มีให้แม่เลย
 
        คุณเคยรู้สึกบ้างไหม รู้สึกว่าจำความรักที่แม่มีให้กับคุณได้ แต่จำไม่ได้ว่าตัวเองเคยมอบความรักให้แม่บ้างไหม
 
        คุณมอบความรัก ความห่วงใยให้กับคนได้ทั้งโลก แต่คุณกลับหลงลืมคนที่สำคัญที่สุดในชีวิต
 
        “รักอื่นสุขบ้างบางเวลา รักมารดาสุขนั้นนิรันดร”
 
อย่าให้ความทรงจำของคุณ จำเพียงแค่ความรักที่แม่มีให้ แต่จงจำด้วยว่าคุณเองก็รักแม่มากเพียงใด
 
 
แม่...ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ
 
        (เรียงความวันแม่) ในช่วงชีวิตหนึ่ง ของคนเรามีใครหลายคนผ่านเข้ามาในชีวิต เพียงแค่ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านเราไป แต่บางสิ่งบางอย่างเข้ามาเพื่อ เติมเต็มชีวิตของเราก็เป็นไปได้อย่างที่รู้จักกันอยู่ว่า หลากหลายคนก็หลากหลายประเภท แต่จะมีสักกี่คนกันที่จริงใจกับเรา ทุกคนเมื่อเติบโตขึ้นก็แสวงหาคนที่จะมาเติมเต็มชีวิตเราให้เป็นชีวิตที่สมบูรณ์ ทุกๆ คนต่างมองไปข้างหน้าเพื่อไปไขว่คว้าอนาคตของตนที่สดใส หากแต่คนเหล่านั้นรู้บ้างหรือไม่ว่า มีใครๆ หนึ่งคอยดูแลประคับประคองเราอยู่ไม่ห่าง คอยเฝ้ามองดูการเจริญเติบโตของเราอยู่ข้างหลังอย่างห่วงใย และเบื้องหลังของทุกๆ ความสำเร็จของเรา ที่สำเร็จได้ก็ด้วยนั้นคือ คนที่อยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุด ที่น้อยคนจะเหลียวหลังกลับมอง และคนๆ นั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือ แม่ ของเรานั้นเอง
 
        ก่อนอื่นขอย้อนหลังเมื่อครั้งยังเล็ก เท้าเท่ากับฝาหอย แม่คอยถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงฉันมา แม่นั้นแสนจะเหนื่อยอยากแสนเข็ญ แม่นั้นเลี้ยงฉันมา จวบจนโตอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ แม่ยังให้ความสำคัญกับฉันอยู่เสมอ คอยดูแลห่วงใยให้ความรัก ความอบอุ่นแก่ฉันเสมอมา เรื่องพระคุณของแม่เป็นเรื่องที่ฉันและทุกๆ คนรู้กันดี หากมีใครถามฉันว่า แม่มีพระคุณต่อเราอย่างไร ฉันก็สามารถบอกเขาได้ว่า แม่นั้นคือผู้ให้กำเนิดฉัน เลี้ยงดูฉันจนเติบโต ให้ความรักความอบอุ่นกับฉันจนถึงวันนี้ได้ แม่นั้นทำงานหนักเพื่อให้ได้เงิน ส่งฉันได้เล่าเรียนหนังสือสูงๆ ฯลฯ  หลายๆ คนคงบอกได้เหมือนกับฉันใช่ไหม? แต่แล้ววันหนึ่ง เป็นวันที่ทำให้ฉันรู้ว่าพระคุณของแม่ เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และใหญ่หลวงมากกว่าที่ฉันคิด เป็นสิ่งที่ฉันไม่สามารถบรรยาย เป็นคำพูดได้ เพราะคงไม่มีคำพูดๆไหนที่จะบรรยายถึงความรัก  ความห่วงใย ความปรารถนาดี ของแม่ที่มีต่อฉันได้ดี เท่ากับสิ่งที่แม่ทำให้ฉันอีกแล้ว
 
แม่ของฉันมีอาชีพรับราชการครู ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของฉัน
แม่ของฉันมีอาชีพรับราชการครู ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของฉัน
 
        แม่...ของฉันมีอาชีพรับราชการครู ใครๆ ก็รู้ว่างานแบบนี้ไม่ใช่งานที่สบาย เป็นงานที่ค่อนข้างเหนื่อยแต่ได้เงินเดือนเพียงน้อยนิด แต่ ครู เป็นอาชีพที่ต้องเสียสละ แม่ของฉันก็รู้ดีและตั้งใจทำงานโดยไม่เคยบ่น ในวันหนึ่งๆ แม่ของฉัน คงทำงานหนัก นี่เป็นสิ่งทีฉันคิดอยู่เสมอ เพราะแม่ของฉัน มักจะกลับบ้านเย็นเสมอๆ ฉันเองก็กลับบ้านพร้อมกับแม่ บางที่ฉันรู้สึกเบื่อที่ต้องนั่งคอยแม่ทำงานให้เสร็จ ในแต่ละวันแล้วเราสองคนจึงค่อยกลับบ้าน แต่ฉันก็บ่นอะไรไม่ได้ เพราะฉันไม่อยากทำให้แม่ ต้องเสียใจ เย็นวันหนึ่งฉันตัดสินใจเดินทางเข้าไปหาแม่ ในห้องทำงานของแม่ เพื่อที่จะชวนแม่ให้กลับบ้านเร็วๆ ห้องทำงานของแม่เป็นบานกระจกหน้าต่างที่โปร่งแสง ฉันเห็นแม่ของฉันทำงานอยู่ที่โต๊ะทำงาน มีเอกสารและสมุดบัญชีตั้งอยู่ตามมุมต่างๆ ของโต๊ะทำงาน จนแทบไม่มีที่วางของได้อีกเลย แม้แต่น้ำเย็นๆ สักแก้วก็ไม่มี เมื่อเดินเข้าไปใกล้ขึ้นอีกนิด ฉันเห็นแม่กำลังทำบัญชีอย่างขะมักเขม้น    น่าแปลกห้องที่แม่นั่งอยู่เป็นห้องปรับอากาศเย็นสบาย แต่ทำไมใบหน้าของแม่จึงมีเหงื่อผุดพรายออกเต็มหน้าผาก คิ้วของแม่สองข้างขมวดเข้าหากัน งานของครูหนักหนาขนาดนี้เชียวหรือ?”
 
        ฉันคิดขึ้นเอง...วันนั้นเป็นวันที่ทำให้ฉันรู้ซึ้งถึงความเหน็ดเหนื่อยของแม่ สภาพแม่ในตอนนั้น ทำให้ฉันลืมในสิ่งที่ฉันตั้งใจจะมาขอแม่ไปอย่างสนิท เมื่อเห็นว่าแม่ต้องอยู่ในสภาพแบบนี้ ทุกๆ วันจนเย็น กับตัวหนังสือและตัวเลขมากที่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องด้วยแล้ว แล้วยังต้องอยู่ในสภาพที่ต้องยืนสอนเด็กนักเรียนอีกกว่าครึ่งวัน   ฉันยิ่งไม่อยากจะรบกวนอะไรแม่มากไปกว่าที่เป็นอยู่ เพราะแค่การที่แม่ทำงานหนักอย่างเหน็ดเหนื่อยเพื่อให้ได้เงินมาส่งฉันและน้องเรียนหนังสือหรือเป็นค่ากินอยู่ และให้เติบโตมาจนถึงวันนี้ก็นับว่า มีพระคุณจนฉันไม่สามารถตอบแทนพระคุณได้หมด
 
        แม่มักถามฉันเสมอๆ ว่า อยากได้อะไรหรือเปล่าลูก แต่ฉันก็ส่ายหน้าปฏิเสธเสมอว่าฉันไม่อยากได้อะไร เพราะฉันคิดว่าสิ่งที่ฉันมีอยู่กับสิ่งที่แม่ให้ฉันเท่านี้ ก็เพียงพอแล้วทำไมจะต้องรบกวนแม่อีก ในเรื่องที่มันไม่ค่อยจำเป็นเลย ซึ่งฉันก็รู้ดีว่า กว่าจะได้เงินมามันแสนเหนื่อยมาก เพราะฉันก็ทำงานหลังเลิกเรียนแลวันหยุด เสาร์อาทิตย์ เช่นกัน ในขณะที่เด็กบางคนเวลาอยากได้อะไร เอาแต่แบมือขอพ่อแม่ เด็กพวกนี้ไม่คิดบ้างหรืออย่างไรว่า เบื้องหลังธนบัตรหลายใบที่แม่ยื่นให้ลูกนั้นคือ หยาดเหงื่อที่แม่เฝ้าทำงานเหนื่อยแสนเหนี่อยกว่าจะได้เงินมาแต่ละบาท
 
        ถึงแม้ว่าแม่จะทำงานหนัก กลับบ้านเย็นทุกๆวัน แต่แม่ก็ยังคอยดูแลฉัน เอาใจใสฉันเสมอๆ ถามทุกข์ สุข เป็นประจำ หิวหรือยังลูก หรือ อย่านอนดึกนะ เป็นประโยคที่ฉันมักได้ยินจากปากแม่เป็นประจำ เพียงแค่ประโยคเหล่านี้ ก็ทำให้ฉันรู้สึกดีใจมาก ยิ่งกว่าการที่แม่ซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ ให้ฉันเสียอีก ยามใดที่ฉันเป็นสุขรู้สึกยินดีกับบ้างเรื่อง แม่ก็จะมาร่วมยินดีและเอ่ยปากชมฉันเสมอ ยามที่ฉันทุกข์ใจ ฉันรู้ แม่ทุกข์ใจด้วย แม่จะคอยปลอบโยน คอยให้กำลังใจฉัน ให้เป็นคนเข้มแข็งอยู่ตลอดเวลา แม่สอนให้ฉันได้ทำอาหารหลากหลายชนิด จนตอนนี้ฉันสามารถทำอาหารเป็นและใครๆ ต่างชมฉันว่าอร่อย แม่มักใช้คติธรรมเข้ามาสอนในเหตุการณ์ต่างๆที่ฉันประสบพบเจอ เพื่อมาสอนฉันให้รักษาสิ่งเหล่านั้นไว้ ทุกๆ สิ่งที่แม่ได้สอนฉันมาทั้งหมด ทำให้ฉันได้เป็นอย่างทุกวันนี้
 
        แม่เสมือนผ้า...ที่คอยให้ความอบอุ่นแก่ฉันในยามที่ฉันต้องการ แม่..เป็นเสมือนเพื่อนและที่ปรึกษา ที่สามารถคุยและปรึกษาได้ทุกเรื่อง และเป็นอะไรอีกมากมาย ที่ฉันไม่สามารถบรรยายพระคุณของท่านได้หมด  ดังบทเพลงหนึ่งว่า “ จะเอาโลกมาทำปากกา  แล้วเอานภามาแทนกระดาษ    เอาน้ำหมดมหาสมุทรแทนหมึก วาดประกาศพระคุณไม่พอ” เรียกได้ว่าทุกๆ ความสำเร็จที่เราได้มา ทุกสิ่งที่ฉันมี ที่ฉันเป็นอยู่ คงไม่มีทางสำเร็จหาก แม่..ผู้ที่คอยให้ความสนับสนุนเละให้กำลังใจชักจูงฉันไปในทางที่ดี คอยผลักดันให้ฉันก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่าผ่าเผย โดยมีแม่คอยห่วงใยอยู่เบื้องหลัง คนบางคนเมื่อเจริญก้าวหน้าแล้ว ก็ลืมแม่ผู้ที่คอยส่งเสริมให้ตนเองไปถึงจุดนั้นได้ ปฏิบัติไม่ดีกับแม่ต่างๆ นานาเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ พูดไม่ดีกับแม่ เสียงดังใสแม่ หน้าบึ้งใส่บ้างก็มี ฉันเองเคยทำสิ่งเหล่านั้น แต่โตขึ้นจะเรียนรู้และตระหนักถึงพระคุณของแม่เป็นอย่างมาก
 
        ในช่วง ๑ ปี แม่คงไม่ต้องการให้ฉันแสดงความรักเพียงแค่ครั้งเดียว  คือวันที่ ๑๒ สิงหาคม และฉันก็คงไม่ต้องแสดงความรักที่มีต่อแม่แค่วันนั้นวันเดียวหรอก เพราะไม่ว่าจะวันไหนๆ ฉันก็สามารถแสดงความรักที่มีให้กับแม่ได้ทุกวัน ขณะนี้สิ่งที่ฉันควรทำก็คือ...เป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนหนังสือ เชื่อฟังคำสอนของท่าน อย่าทำให้ท่านต้องเสียใจ รู้จักรักษาน้ำใจท่าน และกระทำสิ่งที่ดีและอื่นๆ อีกมากที่ฉันสามารถทำให้แม่ได้โดยไม่ต้องมีโอกาส เพราะแม่เป็นบุคคลที่ฉันรักมากที่สุดในชีวิต แน่นอน คงไม่มีใครรักฉันไปมากกว่าที่พ่อกับแม่รักฉันอีก  อาจมีบางคนที่ไม่มีคำว่า...แม่ เพราะบางคนแม่ของเขาไม่มีแล้ว แต่ฉันสิ...รักแม่ยิ่งอื่นใด
 
        ตลอดเวลา ๒๐ ปีที่ผ่านมา ฉันสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า แม่...คือ ทุกสิ่งสำหรับฉัน แม่สามารถให้ฉันได้ทุกๆ อย่างเท่าที่แม่คนหนึ่งจะทำให้ลูกได้ ต่อไปนี้ฉันจะทำเพื่อแม่ ให้แม่มีความสุข และแม่ยังคงเป็นคนที่ทำให้ฉันก้าวมาได้ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้ฉันก็โตเป็นสาวแล้ว สามารถทำอะไรได้ด้วยตนเอง ฉันรู้ซึ้งและตระหนักในพระคุณของแม่คนนี้อย่างเต็มหัวใจ ว่าแม่คือ “ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของฉัน” และฉันเป็นคนที่สมบูรณ์ได้ก็เพราะพ่อกับแม่ ที่ทำให้ฉันเกิดบนโลกใบนี้ ฉันคิดว่าชีวิตของฉันมีความสุขที่ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อและแม่  ผู้ประเสริฐทั้งสองท่าน ฉันดีใจที่ได้เป็นลูกของแม่ “ฉันรักแม่มากที่สุด” แม่คงไม่รู้ใช่ไหมว่าทุกครั้งที่แม่ได้ยิน “หนูรักแม่”
 
 
ดวงใจของผม 
 
        (เรียงความวันแม่) “พี่จ๋า แม่ไปไหนจ๊ะ” เสียงใสๆ ของหนูน้อยเอ่ยถามพี่สาวด้วยความคิดถึงแม่
 
        “แม่ไปเที่ยวจ้ะ พรุ่งนี้แม่ก็กลับมาแล้ว นอนหลับเสียนะ” น้ำเสียงอันสั่นเครือด้วยความหนาวของเด็กหญิงวัย 11 ปี รูปร่างเล็ก ผิวคล้ำ หน้าตาแลดูมอมแมมปราศจากเครื่องแป้ง ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นสีทึมๆ มีรอยขาดที่พยายามปะชุนหลายแห่งเนื่องจากผ่านการใช้งานมาอย่างหนักและเป็นเวลานาน เธอกำลังปลอบใจเด็กชายตัวน้อยในอ้อมกอดของเธอ ให้หยุดร้องไห้งอแงด้วยเอ็นดูเป็นอย่างยิ่ง เธอนั่งอยู่บนแคร่ไม่ไผ่ผุๆ ใต้ถุนบ้านไม้เก่าและทรุดโทรม เพราะขาดการดูแลซ่อมแซมจากเจ้าของบ้าน ท่ามกลางสายลมเย็นและอากาศที่หนาวจัดของค่ำคืนแห่งฤดูหนาว ที่แสนโหดร้ายสำหรับเด็กน้อยผู้แร้นแค้นเช่นเธอ ทว่าสำหรับคนส่วนใหญ่ที่มีชีวิตสุขสบายแล้ว ฤดูหนาวอาจจะเป็นฤดูแห่งความสุข เพราะอากาศที่เย็นสบายและอากาศหนาวเช่นนี้ ก็ยิ่งเป็นแรงดึงดูดใจให้เขาเหล่านั้นยอมเดินทางไกลจากเมืองใหญ่ทั่วทุกสารทิศขึ้นมาตั้งแค้มป์ก่อกองไฟ มีกิจกรรมเฮฮาสนุกสนานกันบนยอดดอยสูงทางภาคเหนือของประเทศไทย แต่สำหรับเด็กน้อยผู้นี้แล้วฤดูหนาวไม่ใช่สิ่งที่วิเศษสำหรับเธอเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังเป็นฤดูกาลที่เลวร้ายคอยทรมานร่างกายของเธอให้ต้องทนทุกข์ เพราะลำพังเพียงเสื้อผ้าเก่าๆ ที่เธอมีอยู่เพียงไม่กี่ตัว ทั้งยังใส่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเนื้อผ้าบางและขาดคงไม่เพียงพอที่จะทำให้ร่างกายของเธอมีความอบอุ่นเพิ่มขึ้นได้
 
        เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอแล้ว ถือว่าเธอเป็นผู้ใหญ่เกินวัยมาก เพราะเธอต้องทำงานหนักเกินตัวตั้งแต่เด็ก ไม่มีเวลาไปวิ่งเล่นสนุกสนานอย่างที่เด็กในวัยของเธอควรจะเป็น ทุกๆ เย็นหลังจากกลับจากโรงเรียนเธอต้องช่วยแม่ทำงานทุกอย่าง และยิ่งเมื่อผู้เป็นพ่อที่เคยเป็นเสาหลักของครอบครัวที่คอยทำงานหาเงินมาจุนเจือครอบครัว ต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับมาอีกเลย ยิ่งทำให้เธอต้องลำบากมากยิ่งขึ้นเป็นร้อยเป็นพันเท่า เพียงเท่านี้ยังไม่พอโชคชะตาก็เล่นตลกกับเธออีกครั้ง เมื่อผู้เป็นแม่ต้องกลายเป็นคนบ้าเสียสติไปเมื่อรู้ข่าวว่าสามีอันเป็นที่รักต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับมา หนูน้อยต้องรับภาระทุกอย่างโดยไม่มีทางเลือกว่าเธอต้องการทำสิ่งเหล่านั้นหรือไม่ ทั้งต้องดูแลแม่ที่ผู้ใดได้พบเห็น ต่างพากันเรียกว่าคนบ้า และน้องชายวัย 2 ขวบที่ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าพ่อเช่นเดียวกับเธอ ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ เธอหมดโอกาสทำในสิ่งที่เธอรักและเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ชีวิตของเธอดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ได้ นั่นก็คือ เธอหมดโอกาสได้เรียนหนังสือ
 
        เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว จันทร์ หญิงสาวชาวเหนือวัย 20 ปีต้นๆ ที่กำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เด็กและได้อาศัยอยู่กับป้าและลุง ได้เดินทางจากหมู่บ้านเล็กๆในอำเภอรอบนอกของจังหวัดเชียงราย เพื่อเข้ามาทำงานในกรุงเทพมหานคร เมืองใหญ่ที่คนบ้านนอกเช่นเธอจำนวนไม่น้อย คิดว่าเป็นเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ มีแต่ความเจริญ เมื่อใครที่เข้ามาทำงานที่นี่แล้วจะต้องเจอแต่สิ่งดีๆ เปรียบดังบ่อเงินบ่อทองที่ถ้าใครได้เข้ามาแล้วจะประสบความสำเร็จ สามารถเก็บเงินเก็บทองเป็นกอบเป็นกำ สร้างฐานะให้มั่นคงได้ และเมื่อจันทร์ได้เห็นตัวอย่างของรุ่นพี่ในหมู่บ้านที่เข้ามาแล้วสามารถเก็บเงินจนตั้งตัวได้ ก็เป็นเหมือนแรงบันดานใจที่ทำให้ความหวังและความฝันของจันทร์ ที่จะเข้าเมืองกรุงมากอบโกยเงินทองนั้นสูงมากขึ้นไปอีก
 
        จันทร์พยายามอดออมเก็บหอมเงินทุกบาททุกสตางค์ ที่ได้จากการรับจ้างเล็กๆ น้อยๆ ทั้งในหมู่บ้าน และหมู่บ้านใกล้เคียง ตามประสาคนที่ได้รับการศึกษาน้อย ต้องดิ้นรนปากกัดตีนถืบมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย เพื่อที่จะนำเงินนั้นมาใช้เป็นค่ารถในการเดินทาง รวมทั้งเป็นค่าอาหาร ให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ในเมืองกรุงได้ในช่วงแรกของการหางานทำ หลังจากมาถึงกรุงเทพมหานครได้สองวัน จันทร์และเพื่อนร่วมอุดมการณ์อีกสองคน ก็หางานทำได้โดยได้งานเป็นสาวโรงงานอยู่ย่านรังสิต จันทร์ตั้งใจทำงานเก็บเงินอย่างหนัก ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เธอจะไม่ลาหยุดงานเลยแม้แต่วันเดียว จนทำให้เธอสามารถเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง เธอไม่รีรอที่จะส่งเงินก้อนนั้นกลับไปให้ป้าและลุงผู้มีพระคุณสูงสุดในชีวิตเธอ เธอคิดเสมอว่าถ้าไม่มีป้าและลุงที่คอยเลี้ยงดูเธอมา ถึงแม้จะไม่ได้มีชีวิตที่ดีเฉกเช่นชีวิตคนมีเงินทั่วๆ ไปก็ตามเธอก็คงจะไม่มีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งลุงและป้าของเธอคือผู้ช่วยเหลือและให้ชีวิตใหม่แก่เด็กกำพร้าพ่อแม่เช่นจันทร์
 
        ชีวิตการเป็นสาวโรงงานของจันทร์ดำเนินไปได้ประมาณปีเศษ จันทร์ก็ได้พบรักกับชายหนุ่มนามว่าสิน เป็นหนุ่มจากร้อยเอ็ด ทั้งเขาและเธอทำงานอยู่ในโรงงานเดียวกันโดยสินเข้ามาก่อนหน้าจันทร์ประมาณ 1 ปี ชีวิตของสินก็ไม่ได้แตกต่างจากจันทร์มากมายนัก เพราะทั้งคู่ต่างก็ดั้นด้นเดินทางเข้าเมืองใหญ่เพื่อหนีความยากจนแร้นแค้นของบ้านนอกเช่นเดียวกัน แต่จะแตกต่างกันอยู่ตรงที่ว่า สินมาจากครอบครัวที่สมบูรณ์กว่าจันทร์เท่านั้นเอง เพราะเขามีทั้งพ่อและแม่ ไม่ได้เป็นเด็กกำพร้าเหมือนจันทร์
 
        ด้วยความที่ทั้งสินและจันทร์ทำงานอยู่ในโรงงานเดียวกัน ได้พบเจอกันอยู่ทุกวัน มีโอกาสพูดคุยกันบ้างตามประสาเพื่อนร่วมงาน ทั้งสองมีหลายๆ อย่างที่เหมือนกันโดยเฉพาะเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ ทำให้ทั้งคู่เข้ากันได้ง่ายและนั่นทำให้ทั้งคู่มีความสนิทสนมกันมากขึ้น จนในที่สุดความสนิทสนมนั้นก็ได้ก่อตัวขึ้นเป็นความรัก ทั้งสินและจันทร์ตกลงคบหาเป็นคนรักกันได้ประมาณครึ่งปี ทั้งคู่ก็ตัดสินใจอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยาในห้องเช่าเล็กๆ แต่เปรียบดังเรือนหอหลังน้อยๆ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความสุขกลางเมืองใหญ่ ตลอดระยะเวลาที่สินและจันทร์ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันนั้น สินปฏิบัติตัวเป็นสามีที่ดีมาตลอด ไม่มีขาดตกบกพร่อง คอยดูแลเอาใจใส่จันทร์ทุกอย่าง มีความซื่อสัตย์และจริงใจต่อจันทร์เป็นอย่างยิ่งตามประสาของหนุ่มบ้านนอกคนซื่อ
 
        เจ็ดเดือนให้หลัง จันทร์เริ่มรู้สึกได้ถึงอาการในร่างกายของตัวเองที่เปลี่ยนไป ไม่ปกติเช่นแต่ก่อน อย่างเช่นเริ่มเหนื่อยง่าย ทำงานหนักๆ อย่างที่เคยทำไม่ไหว อ่อนเพลียง่าย และที่สำคัญคือมีอาการเวียนศีรษะ อาเจียนเมื่อได้กลิ่นไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหอมหรือกลิ่นฉุน สิ่งนั้นทำให้จันทร์คิดหนัก เพราะจันทร์กลัวว่าตนจะตั้งครรภ์ ถึงแม้ว่าใจหนึ่งจะรู้สึกดีที่จะได้ให้กำเนิดลูกตัวน้อยๆ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอและสินผู้เป็นสามี แต่อีกใจหนึ่งก็กังวลถึงเรื่องภาระความรับผิดชอบต่างๆ ที่จะเพิ่มมากขึ้น และที่สำคัญคือหากเธอมีลูกในตอนนี้ แน่นอนว่าเธอและสามีคงไม่สามารถเลี้ยงดูลูกให้มีชีวิตที่ดีได้ เพราะทั้งจันทร์และสินยังไม่มีความพร้อมในเรื่องการเงิน
 
        ในที่สุดจันทร์ก็ตัดสินใจไปพบแพทย์ เพื่อตรวจร่างกายที่คลินิกเล็กๆ แห่งหนึ่งบริเวณใกล้เคียงกับห้องพักของเธอ จันทร์นั่งรอผลตรวจด้วยความตื่นเต้นบวกกับความกังวลอยู่หน้าห้องตรวจ ไม่นานนักนางพยาบาลผู้ช่วยแพทย์ก็เดินตรงมายังเธอและยื่นเอกสารฉบับหนึ่งให้กับเธอ จันทร์เปิดอ่านด้วนความตื่นเต้นในใจก็พลันภาวนาว่าขอให้ผลออกมาไม่เป็นอย่างที่เธอกังวลด้วยเถิด เมื่อเธอทราบผลตรวจแล้วในใจก็สับสนวุ่นวาย จนเธอทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจกับผลตรวจนั้น จันทร์พยายามรวบรวมสติและกำลัง แล้วเดินกลับไปยังห้องเช่าเล็กๆ ที่เธอและสามีพักอยู่ เมื่อถึงห้องจันทร์ทรุดตัวลงนอนบนฟูกเก่าๆ ที่ปูทับด้วยผ้าปูที่นอนสีเขียวอ่อนๆ ด้วยความอ่อนล้า ไม่นานนักสินก็กลับมา เมื่อเห็นจันทร์มีอาการเศร้าซึม ก็ทำให้เขาคิดมากตามไปด้วย เพราะตั้งแต่ใช้ชีวิตร่วมกันมาเขายังไม่เคยเห็นจันทร์มีอาการอย่างที่เป็นอยู่ในวันนี้มาก่อนเลย เขาถามไถ่ถึงอาการของจันทร์ทันทีและคำตอบที่ได้จากภรรยาของเขาก็คือ จันทร์และเขากำลังจะมีลูกด้วยกัน ความรู้สึกของเขาไม่ได้ต่างไปจากจันทร์เลย เมื่อได้รู้ข่าวที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าข่าวดีหรือข่าวร้ายดี บรรยากาศในห้องแคบๆ เงียบงันมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความคิดในหัวของเขามันวุ่นวายไปหมด เขาคิดว่าถ้าเขามีลูกภาระของเขาก็ต้องเพิ่มขึ้นอีก แล้วอีกหลายปากท้องที่รอเขาอยู่ที่บ้านนอกล่ะจะทำอย่างไร เขาคิดแม้กระทั่งว่าจะให้จันทร์ไปทำแท้งเพื่อแก้ปัญหา แต่ด้วยความที่เขาไม่ใช่คนเลวร้ายขนาดนั้นมันทำให้เขาตัดสินใจที่จะเก็บลูกไว้ เขากล้าที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นและรับผิดชอบต่อสิ่งที่เขาและภรรยาได้ตัดสินใจทำลงไป ถึงเขาจะต้องทำงานหนักขึ้นหลายเท่าตัว เพราะต้องเก็บเงินส่วนหนึ่งไว้เป็นค่าใช้จ่ายให้แก่ลูกน้อยที่กำลังจะเกิดมา และเก็บเงินอีกส่วนหนึ่งส่งให้พ่อแม่ทางบ้านที่ร้อยเอ็ด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ดูแลเอาใจใส่จันทร์เป็นอย่างดี ไม่มีขาดตกบกพร่อง และเมื่อจันทร์ท้องแก่ขึ้น แน่นอนว่าจันทร์ไม่สามารถที่จะกลับไปทำงานหนักๆ ได้เช่นเดิม ดังนั้นภาระงานหนักทุกอย่างจึงตกอยู่ที่สินแต่เพียงผู้เดียว
 
        “คุณได้ลูกสาวนะคะ” เสียงหวานของนางพยาบาลสาวคนหนึ่งกล่าวกับสินที่นั่งรออยู่หน้าห้องคลอด ด้วยความตื่นเต้นและดีใจที่จะได้เป็นพ่อของชีวิตเล็กๆ ชีวิตหนึ่ง เมื่อสินได้ฟังดังนั้นเขารู้สึกดีใจมาก และไม่รอช้าที่จะเข้าไปชื่นชมความน่ารักน่าชังของลูกสาวตัวน้อย พร้อมทั้งตั้งชื่อลูกน้อยว่า “ดวงใจ” เพราะลูกน้อยคนนี้เปรียบดังแก้วตาดวงใจของสินเลยก็ว่าได้ สินสัญญากับตัวเองว่า จะดูแลลูกของเขาให้ดีที่สุดไม่ให้ลูกของเขาต้องลำบากเหมือนเขาและจันทร์แน่นอน
 
        สามคนพ่อแม่และลูกใช้ชีวิตทำมาหากินอยู่ในกรุงเทพมหานคร ถึงแม้จะมีอดบ้าง ลำบากบ้าง ไม่สุขสบายเหมือนครอบครัวอื่นๆ แต่ก็ถือว่าครอบครัวของสินและจันทร์มีความสุขมากพอสมควรตามอัตภาพ ทั้งคู่มีลูกสาวที่แสนน่ารัก ขยันช่วยพ่อแม่ทำงานมาตั้งแต่เด็ก เชื่อฟังทุกอย่าง เพียงเท่านี้ก็คือความโชคดีที่สุดของสินและจันทร์แล้ว ระยะเวลาเกือบสิบปีที่ทั้งคู่อยู่ร่วมกันมานั้น สินก็ได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเขารักจันทร์และดวงใจลูกสาวของเขามาก โดยสินทำตัวดีมาตลอด ดูแลทั้งจันทร์และดวงใจอย่างดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ไม่ว่าเขาจะต้องเหนื่อยมากสักเพียงไรก็ตาม
 
        “ดวงใจ แม่เอ็งอยู่ไหน”
 
        “เย็บผ้าอยู่ในบ้านจ้ะป้า” ดวงใจตอบคำถามป้าเจ้าของห้องพักที่เธอพักอยู่กับพ่อและแม่ ที่ท่าทางรีบร้อนเหมือนมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น
 
        สักพักผู้หญิงที่เธอเพิ่งสนทนาด้วยเมื่อสักครู่นี้ ก็เดินออกมาพร้อมกับจันทร์แม่ของเธอที่มีอาการตกใจและน้ำตานองหน้า ทั้งคู่เดินผ่านเธอไปอย่างไม่สนใจว่าเธอยืนอยู่ตรงหน้า ในช่วงค่ำของวันเดียวกัน แม่เธอก็กลับมาและเดินตรงมาโอบกอดเธอ พร้อมทั้งร่ำไห้และบอกกับดวงใจว่า นายสินผู้เป็นพ่อของเธอถูกรถชนตายขณะที่กำลังเข็นรถข้ามถนน เพื่อไปส่งของให้เจ้านายของเขา การตายของสินทำให้จันทร์เสียใจมาก และที่สำคัญคือ จันทร์ยังไม่ได้บอกเรื่องที่เธอกำลังตั้งท้องลูกคนที่สองแก่เขาเลย หลังจากจัดการเรื่องงานศพของสินเสร็จ จันทร์ก็พาดวงใจกลับไปอยู่ที่เชียงรายบ้านเกิดของเธอ เพราะถ้าอยู่ในกรุงเทพต่อไปคงไม่สามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่สูงได้
 
        ตั้งแต่กลับมาอยู่เชียงราย จันทร์มีแต่ความซึมเศร้า เพราะยังทำใจเรื่องสามีตายไม่ได้ เธอไม่สนใจแม้แต่จะดูแลตัวเองและลูกในท้อง เธอลืมคนสำคัญอีกคนหนึ่งที่เธอควรเอาใจใส่ นั่นก็คือเด็กหญิงดวงใจ เงินจำนวนหนึ่งที่เธอและสามีช่วยกันเก็บก็ลดน้อยลงทุกวัน เนื่องจากทั้งเธอและลูกก็ต้องกินต้องใช้แต่ไม่มีคนหาเงินมาเพิ่มเพราะเธอเอาแต่เสียอกเสียใจและตรอมใจ ไม่ทำมาหากินทำให้ภาระทุกอย่างต้องตกอยู่กับดวงใจเด็กน้อยกำพร้าพ่อ เธอหาเงินมาดูแลแม่ผู้ตรอมใจโดยการรับจ้างทำงานเล็กๆ น้อยๆ ในหมู่บ้าน ไม่นานนักแม่ของเธอก็คลอดลูกชายคนเล็ก ค่าใช้จ่ายในการคลอดลูก ก็ได้มาจากความช่วยเหลือของเพื่อนบ้านที่รักและเอ็นดูในความขยันกตัญญูของดวงใจ รวมกับเงินเก็บที่ยังพอมีเหลืออยู่บ้าง
 
        เวลาผ่านไปเกือบสามปี หลังจากที่สินตายแต่จันทร์ก็ยังทำใจไม่ได้ นับวันมีแต่จะตรอมใจหนักขึ้น วันหนึ่งๆ คิดถึงแต่สามีอันเป็นที่รักของเธอ เหม่อลอย ในใจก็รอคอยให้เขากลับมา จนในที่สุดจันทร์ก็ได้กลายเป็นหญิงบ้าเสียสติ ปล่อยให้ดวงใจต้องดูแลเด็กชายมานะลูกชายคนเล็กในวัย 2 ขวบเพียงลำพัง
 
        ด้วยความที่ยังเป็นเด็ก แต่ต้องมารับผิดชอบงานหนักหลายอย่าง ทั้งดูแลแม่ที่เสียสติ ดูแลน้องชายวัยสองขวบ และยังต้องรับจ้างหาเงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องทั้งสามชีวิต ถือว่าเป็นภาระที่ใหญ่โตมากสำหรับเด็กหญิงวัย11ปีอย่างดวงใจ เธอไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้เรียนหนังสือในโรงเรียนดัง เช่นเพื่อนๆ รุ่นราวเดียวกันกับเธอเพราะเธอมีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบมากมายเหลือเกิน ทุกครั้งที่เธอพอมีเวลาว่างถึงแม้จะเป็นเวลาเพียงน้อยนิด เธอจะเดินเท้าไปยังโรงเรียนในหมู่บ้านใกล้เคียงพร้อมกับน้องชายของเธอ เพราะทั้งตำบลมีโรงเรียนเล็กๆ อยู่แห่งเดียวเพื่อไปนั่งฟังสิ่งที่คุณครูสอน เพื่อนๆ ในห้องเรียนก็จะแบ่งสมุดและดินสอให้กับเธอ เพื่อให้สามารถจดตามได้ ครูหลายคนที่เห็นในความตั้งใจของดวงใจ ได้หยิบยื่นความช่วยเหลือให้แก่ดวงใจ ทั้งเรื่องอาหารการกิน เสื้อผ้าเก่าๆ ที่พอใช้ได้และที่สำคัญคือช่วยสอนหนังสือให้แก่ดวงใจ ให้พออ่านออกเขียนได้ตามอัตภาพ ทุกครั้งที่ดวงใจได้รับความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะจากใครก็ตามเธอจะต้องทำงานที่เธอพอจะทำได้ตอบแทน เช่น ช่วยทำงานบ้าน ถางหญ้า เก็บขยะ เป็นต้น เพราะเธอคิดว่าทุกสิ่งที่ได้มาต้องได้มาเพราะน้ำพักน้ำแรงของเราเอง ไม่ควรรับของๆ ใครโดยไม่ได้ตอบแทน สิ่งนี้ทำให้คนที่ได้พบเห็นซาบซึ้งในความกตัญญูรู้คุณของเธอ ทุกคนจึงรักและเอ็นดูดวงใจเป็นอย่างยิ่ง
 
        เงินทุกบาททุกสตางค์ที่เธอได้มา เธอจะเก็บไว้ใช้เป็นค่ายาในยามที่มานะและแม่ไม่สบายและอีกส่วนหนึ่งเธอเก็บเป็นค่าอาหาร เสื้อผ้าต่างๆ ที่มีเธอได้รับมาจากเพื่อนบ้านที่หยิบยื่นแบ่งปันให้ ถึงแม้เสื้อผ้าเหล่านั้นจะไม่ได้สวยหรือใหม่สำหรับคนอื่นๆ แต่สำหรับเธอแล้ว มันคือของใหม่และสวยงามมาก เมื่อเปรียบเทียบกับเสื้อผ้าที่เธอมีอยู่ไม่กี่ตัว
 
        ถ้ามองดูจากภายนอกแล้ว ดวงใจอาจดูเป็นเด็กหญิงผู้เข้มแข็ง ดิ้นรนสู้ชีวิตทุกอย่าง เธอมีความหวังเสมอว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งเธอจะต้องได้เรียนหนังสือ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นความหวังที่ริบหรี่และเป็นไปได้ยากก็ตาม จนเมื่อมานะอายุได้ 7 ปี และดวงใจเองก็โตเป็นผู้ใหญ่ พอที่จะหาเงินส่งเสียให้น้องได้เรียนหนังสือ โดยเธอได้งานเป็นผู้ช่วยผู้ดูแลเด็กที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของตำบล ในความคิดของเธอการที่เธอได้ให้โอกาสในการเรียนแก่น้องชายคนเดียวของเธอ ก็ถือว่าเธอได้ทำความหวังและความฝันของเธอให้เป็นจริงแล้ว นิสัยของมานะไม่ได้แตกต่างจากดวงใจเลยแม้แต่น้อย มานะรู้จักรับผิดชอบงานต่างๆ เชื่อฟังสิ่งที่ดวงใจบอกกล่าวตักเตือน คนในหมู่บ้านมักจะเห็นสองพี่น้องช่วยกันรับจ้างทำงานต่างๆ จนชินตา ทั้งดวงใจและมานะต้องมีชีวิตที่ลำบากมาโดยตลอดตั้งแต่เด็ก อาจจะทำให้ทั้งสองท้อใจบ้าง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้สองพี่น้องน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาชีวิต จนทำให้หมดหวังในชีวิต การที่ทั้งสองมีแม่ที่เสียสติเหมือนคนบ้า ก็ไม่ได้ทำให้ทั้งคู่รังเกียจหรืออับอาย แต่นั่นกลับเป็นแรงใจให้ทั้งดวงใจและมานะ มีกำลังกายและกำลังใจที่จะต่อสู้กับความยากลำบาก ดวงใจมักจะบอกกับมานะเสมอว่า วันหนึ่งแม่จะต้องหายดีและกลับมาเป็นแม่จันทร์คนดีคนเดิมของเธอให้ได้
 
        ในวันนี้ดวงใจในวัย 28 ปี และมานะวัย19ปี ในฐานะนักศึกษาทุนเรียนดีระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในจังหวัดเชียงใหม่ ก็ยังคงทำงานหนักต่อสู้ชีวิตด้วยกันเช่นเดิม ทั้งสองพี่น้องต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เป็นกำลังใจให้กันและกันตลอดมา ดวงใจพยายามส่งเสียน้องชายของเขาให้ได้เรียนในชั้นสูงๆ ถึงแม้ดวงใจจะไม่ได้รับการศึกษามาอย่างเต็มที่ก็ตาม มานะมีความมุ่งมั่นและตั้งใจเรียนเป็นอย่างมากเพราะเขาได้เห็นตัวอย่างความอดทน ความขยันของพี่สาวของเขาเองที่ทำให้เขาต่อสู้จนได้รับทุนการศึกษา และได้เรียนต่อในระดับปริญญาตรี ในระหว่างที่เรียนอยู่ มานะจะหางานพิเศษทำ เพื่อช่วยลดภาระของดวงใจให้ได้มากที่สุด มานะจะกลับไปเยี่ยมบ้านที่เชียงรายเสมอเมื่อมีเวลาว่าง เขาจะคอยพูดคุยกับจันทร์ อ่านหนังสือให้จันทร์ฟัง เล่าเรื่องราวของตัวเองในการเป็นนักศึกษาให้จันทร์ฟังโดยที่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า จันทร์จะสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้หรือไม่ แต่สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือ อยากให้แม่จันทร์ของเขาสบายใจและหายจากอาการเสียสติ
 
ดวงใจของผม
ดวงใจของผม
 
        ถึงชีวิตครอบครัวของมานะจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ ไม่ได้มีชีวิตที่ร่ำรวยเงินทองหรือสุขสบายเหมือนใครหลายๆ คน แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองขาดหรือไม่ได้รับความรักจากพ่อแม่เลย เพราะมานะมีคนๆ หนึ่งที่เป็นทุกอย่าง เป็นทั้งพ่อ แม่ พี่สาว เป็นทั้งเพื่อนของเขาในเวลาเดียวกัน รวมถึงเป็นต้นแบบในการใช้ชีวิตให้แก่เขา สอนให้เขารู้จักอดทน อดกลั้น ขยัน สู้ชีวิต เป็นคนดี รู้จักกตัญญูรู้คุณคน ทำงานหนักเอาเบาสู้ไม่ท้อถอย ทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ซึ่งคนๆ นั้นก็คือ พี่ดวงใจของเขานั่นเอง
 
 
พวงมาลัยของจ๋อง
 
        (เรียงความวันแม่) เย็นวันเสาร์...“ก็อยากให้ไฟแดงนานกว่านี้หน่อย เพื่อว่าจะได้ขายมาลัยให้หมด ถ้าหากว่าวันนี้มีไฟเขียวบ่อยก็คงขาดทุน ไม่มีใครอยากชื้อมะลิบานๆ”
 
        “เฮ้ย!ไอ้คุณจ๋องครับ เอ็งจะร้องเพลงไปถึงไหนวะ ไฟแดงแล้ว รีบขายเร็วเดี๋ยวก็อดแดกกันพอดี” เสียงตวาดดังมาแต่ไกลทำให้จ๋องต้องหยุดร้องเพลง พร้อมกับรีบวิ่งไปยังท้องถนนที่กำลังป่วยเป็นอัมพาตชั่วคราว
 
        “พวงมาลัยมั้ยครับพี่ หอมชื่นใจนะครับ สิบบาทครับ สิบบาท” จ๋องตะโกนในขณะที่กำลังสอดสายตามองหาลูกค้า
 
        “น้องมาลัยพวงนึง” เสียงเรียกจากลูกค้าซึ่งเมื่อจ๋องมองหน้าแล้วก็รู้ได้อย่างไม่ต้องเดาว่าเขากำลังอารมณ์เสียสุดๆ กับการจราจรที่แสนจะน่าเบื่อในกรุงเทพมหานคร ดินแดนที่หลายคนดิ้นรนเข้ามาลำบาก เพื่อแลกกับสิ่งตอบแทนที่เรียกว่าเงิน แต่สำหรับจ๋องแล้วเขาอยากให้รถติดนานๆ หรือไม่ก็ติดตลอดทั้งวันเลย เพราะเขาหวังที่จะขายพวงมาลัยให้ได้เยอะๆ เพื่อจะได้มีเงินใช้เหมือนกับคนอื่นบ้าง
 
        “เฮ้อ! แย่จัง วันนี้ขายได้ไม่ถึงยี่สิบพวงเลยลูกพี่” จ๋องพูดพลางส่ายหัวอย่างผิดหวัง
 
        “ช่วยไม่ได้นี่หว่าตอนนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี อย่าว่าแต่ซื้อพวงมาลัยเลย แค่จะซื้อกับข้าวยังต้องคิดแล้วคิดอีก”
 
        “วันนี้เอ็งเอาไปแค่นี้ก่อนนะเว้ย ข้าก็แบ่งให้ได้แค่นี้แหละ” เด็กหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดปีบอกพร้อมกับยื่นกระดาษสีแดงให้กับจ๋อง
 
        “พรุ่งนี้เอ็งจะมาทำงานอีกหรือเปล่า? ข้าจะได้ให้เขาเตรียมของไว้ให้”
 
        “พรุ่งนี้ผมมีนัด ผมขอหยุดวันนึงนะลูกพี่”
 
        “เออ! ตกลง ว่าแต่นัดอะไรของเอ็งวะ?” ผมรู้สึกสงสัยกับพฤติกรรมของมัน เพราะว่าเท่าที่ผมรู้มามันไม่มีญาติที่ไหน รู้แต่ว่ามันอาศัยอยู่กับหลวงตาที่วัดซึ่งท่านก็ส่งเสียให้มันเรียนหนังสือ พอผมถามถึงครอบครัวของมัน มันก็หาทางที่จะเปลี่ยนเรื่องพูด หรือไม่ก็ชิ่งหนีตัดหน้าไปเสียก่อนทุกครั้งไป ผมก็เลยไม่ได้คิดที่จะถามอะไรมันอีก
 
        “วันนี้ที่โรงเรียนจัดกิจกรรมวันแม่ไหมจ๋อง?” ป้าแม้นถามเมื่อเห็นจ๋องโผล่หน้ามาที่ร้านตั้งแต่เช้า
 
        “ไม่จัดครับ วันนี้เป็นวันอาทิตย์ โรงเรียนหยุดครับป้า”
 
        “เออ ดีเหมือนกันป้าจะได้ไม่ต้องหยุดขายของ”
 
        ทุกๆ ปีโรงเรียนของจ๋องจะจัดกิจกรรมวันแม่ ซึ่งมีข้อบังคับอยู่ว่าห้ามขาดกิจกรรมนี้เป็นอันขาดและต้องพาแม่ของตนเองมาร่วมกิจกรรมด้วย แต่สำหรับจ๋องแล้วมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ทุกๆ ปี ป้าแม้นจะเป็นผู้ปกครองให้กับเขา เนื่องจากหลวงตาท่านขอบิณฑบาตไว้ เพราะท่านสงสารไม่อยากให้จ๋องอายเพื่อนที่ไม่มีแม่ไปร่วมกิจกรรม
 
        “ป้าแม้นครับ ขอข้าวมันไก่ห่อนึง เอาให้สุดฝีมือเลยนะป้า” จ๋องพูดพร้อมกับยิ้มให้กับป้าแม้นอย่างอารมณ์ดี เหมือนวันนี้มีอะไรที่พิเศษกว่าทุกวัน
 
        “วันนี้เอ็งดูอารมณ์ดีนะไอ้จ๋อง มีอะไรพิเศษเหรอ” เสียงพูดอย่างเป็นกันเองซึ่งฟังแล้วสบายใจดังขึ้นตัดกับเสียงของปังตอที่สับลงบนเขียงไม้
 
        “ไม่มีอะไรหรอกป้าคนหล่อจะอารมณ์ดีบ้างไม่ได้หรือไง”
 
        “เออ! หล่อก็หล่อ ป้าขี้เกียจจะซักไซ้ไล่ความกับเองแล้วไอ้จ๋อง เอ้า! ได้แล้วข้าวมันไก่ของเอ็ง”
 
        “ผมไม่จ่ายเป็นเงินนะป้า เดี๋ยวตอนเย็นผมจะกลับมาช่วยป้าล้างจานแทนนะ” จ๋องพูดแล้วยื่นมือไปหยิบถุงข้าวมันไก่แล้วยกขึ้นมาดม
 
        “สุดฝีมือจริงๆ นะป้า”
 
        “เออ! สุดฝีมือแล้วไอ้คุณจ๋อง แล้วอย่าลืมที่พูดล่ะ ไม่งั้นล่ะก็น่าดู” เสียงพูดแกมหยอกดังขึ้นพร้อมกับเสียงสับปังตอลงบนเขียง
 
        วันนี้จ๋องเดินทางมาที่สถานแห่งหนึ่ง ซึ่งสถานที่แห่งนี้เป็นที่ๆ ใครหลายๆ คนไม่อยากจะเข้ามาอยู่อาศัย หรือแม้แต่ชายตามองผ่านกำแพงเข้าไป แต่สำหรับจ๋องแล้วมันกลับตรงกันข้าม เพราะใครบางคนที่เขาอยากเจออยู่ที่นี่ ดูเหมือนว่าเขาจะตื่นเต้นและดีใจเป็นพิเศษ เพราะหากวันนี้ไม่ใช่วันอาทิตย์ เขาคงไม่มีโอกาสมาที่นี่
 
        ก้าวแรกที่จ๋องเดินเข้าไป เขาเห็นผู้หญิงหลายคนกำลังทำงานต่างๆ กัน กวาดพื้นบ้าง เก็บขยะบ้างในขณะนั้นเอง ผู้หญิงคนหนึ่งมองมาที่เขา สิ่งที่เขาสังเกตเห็นก็คือ หล่อนมีแววตาที่เศร้าและหม่นหมอง คล้ายกับผิดหวังหรือกำลังรอคอยอะไรซักอย่างหนึ่งที่มันยังมาไม่ถึง
 
        “มีอะไรให้ช่วยไหมจ้ะหนู” เสียงนุ่มๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นทำให้จ๋องได้สติพร้อมกับหันหลังกลับมาที่ต้นตอของเสียงๆ นั้น เจ้าของเสียงเป็นผู้หญิงอายุกลางคน มีร่างกายท้วมใหญ่ ผิวสี แต่สิ่งที่หน้าแปลกสำหรับจ๋องก็คือหล่อนสามารถเก็บรักษาความอ่อนวัยของเสียงนั้นไว้ได้อย่างไร
 
        “เออ ผมมาเยี่ยมแม่ครับ นางนิตยา ทรัพย์มั่นคง”
 
        “ไปนั่งรอตรงนั้นนะ เดี๋ยวพี่ไปตามให้” หล่อนชี้นิ้วไปที่ม้านั่งหินอ่อนซึ่งถูกจัดไว้บริเวณสวนลั่นทมหรือ ลีลาวดีที่คนสมัยใหม่เขานิยมเรียกกัน
 
        จ๋องเดินไปที่นั่น สายลมพัดผ่านดอกลีลาวดีหล่นลงพื้นกลาดเกลื่อนไปทั่วบริเวณนั้น ราวกับปูด้วยพรมสีขาวบริสุทธิ์ หากแต่ใครเล่าจะรู้ว่าภายใต้พรมลีลาวดีผืนนี้ มีความทุกข์ระทมใดซ่อนอยู่
 
        สักพักนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมา จ๋องจำได้ว่าครั้งหนึ่งหล่อนเป็นผู้หญิงที่หน้าตาดี มีผิวขาว รูปร่างผอมบาง และมีรอยยิ้มที่แฝงด้วยความรักความเอ็นดูให้กับเขาอยู่เสมอ แต่สิ่งที่เขาเห็นตอนนี้คือ ผู้หญิงคนหนึ่งที่แต่งตัวดูมอซอ เนื้อตัวมอมแมม ผมยุ่งเหมือนไม่ได้หวีมานาน เสื้อผ้าของหล่อนมีคราบของดินโคลนติดอยู่ ซึ่งพอบ่งบอกว่าหล่อนพึ่งจะผ่านการทำงานหนักมา แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยก็คือรอยยิ้มของหล่อนที่ส่งให้เขา หล่อนเดินเข้ามาแล้วนั่งลงข้างๆ จ๋อง
 
        สายลมพัดผ่านมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่มีกลิ่นหอมของดอกลีลาวดีเหมือนเมื่อครู่นี้ แต่กลิ่นที่จ๋องได้รับกลับเป็นกลิ่นสาบกายแห่งความเหนื่อยล้า อ่อนแรงและท้อแท้ ซึ่งทำให้หดหู่ใจอย่างชอบกล
 
        “ผมชื้อข้าวมันไก่มาฝากแม่ครับ” จ๋องพูดพร้อมกับยื่นถุงข้าวมันไก่ให้หล่อน
 
        “กินเยอะๆ นะแม่ ผมจะซื้อมาฝากแม่ทุกอาทิตย์เลย” ไม่มีเสียงตอบกลับมาแต่อย่างใด มีเพียงแต่ภาษากายเท่านั้นที่แสดงออกมา หล่อนดึงจ๋องไปกอดในอ้อมแขนไว้แน่น เหมือนกลัวว่าจะไม่ได้พบกับจ๋องอีก
 
        มีคนเคยพูดว่าภาพหนึ่งภาพอาจสื่อความหมายได้เป็นล้านความหมาย แต่ในตอนนี้จ๋องรู้เพียงอย่างเดียวว่า ตอนนี้สิ่งที่ผู้หญิงรูปร่างผอมบางคนนี้กำลังทำอยู่คือการแสดงความรักที่ยิ่งใหญ่ของแม่ที่มีต่อลูก น้ำใสๆ หยดลงบนแผ่นหลังของจ๋อง จ๋องมองหน้าของแม่ มองลึกเข้าไปในดวงตา ที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำใสๆ ซึ่งราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่พูดได้และมันกำลังจะบอกอะไรบางอย่างกับเขา
 
        ภาพเหตุการณ์ที่ยากจะลืมผุดขึ้นมาในมโนภาพของเขา ภาพของแม่ที่ร่ำไห้เหมือนคนเป็นบ้า กอดร่างอันไร้วิญญาณของพ่อซึ่งถูกพรากไปโดยปืนพกสีดำกระบอกหนึ่ง พ่อฆ่าตัวตายเนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น อีกไม่นานแม่ก็ถูกฟ้องในข้อหามีส่วนพัวพันในคดีฉ้อโกงของพ่อ และท้ายที่สุดมันก็ทำให้แม่ต้องมาอยู่ในทัณฑสถานหญิงแห่งนี้
 
        ก่อนที่แม่จะจากจ๋องไป แม่พาจ๋องไปที่วัดแห่งหนึ่งที่แม่เคยทำบุญเป็นประจำ แม่ขอความเมตตาจากหลวงตาที่แม่นับถือ ยกจ๋องให้ท่านดูแล เนื่องจากแม่ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน และแม่ก็ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนที่จะได้กลับมาหาจ๋องอีก หลังจากวันนั้น จ๋องก็มีโอกาสพบหน้าแม่ปีละไม่กี่ครั้ง ซึ่งหลวงตาท่านเมตตาพาจ๋องมาเยี่ยมแม่เป็นครั้งคราว แต่ในปีนี้จ๋องตั้งใจมาคนเดียว
 
        “ขอโทษนะคะ เวลาเยี่ยมหมดแล้วค่ะ” เสียงนุ่มๆ ของเจ้าหน้าที่คนเดิมดังขึ้นอีกครั้ง
 
        “ผมขออีกนิดนึงนะครับพี่คนสวย” จ๋องพูดอ้อนอย่างเอาอกเอาใจ
 
         “ก็ได้พี่ให้อีกห้านาทีนะ เป็นค่าตอบแทนที่ชมว่าพี่สวย แล้วเดี๋ยวพี่จะมาตามอีกที” เจ้าของเสียงพูดด้วยความพอใจแล้วเดินจากไป
 
        “เวลามีไม่มากแล้ว ผมอยากจะบอกว่าผมรักแม่มากนะครับ ผมมีอีกอย่างหนึ่งมาฝากแม่ด้วย” จ๋องพูดพลางหยิบพวงมาลัยดอกมะลิออกมาจากกระเป๋าเป้ แล้วบรรจงวางลงบนเท้าของแม่พร้อมกับก้มลงกราบที่เท้าของแม่ น้ำใสๆ ที่ตาของแม่หยดลงบนหัวของจ๋องอีกครั้ง
 
        “แม่ก็รักลูกจ้ะ ดูแลตัวเองดีๆ กตัญญูต่อหลวงตาท่านให้มากๆ นะ”
 
        “ครับแม่ แม่ครับเจ้าหน้าที่มาแล้วผมต้องกลับแล้วนะ อีกอย่างผมสัญญากับป้าแม้นไว้ว่าจะช่วยแกล้างจาน เอาไว้โอกาสหน้าผมจะมาหาแม่อีกนะครับ”
 
        “จ้ะลูก” เสียงพูดปนน้ำเสียงสะอื้น ที่เปี่ยมไปด้วยความรักดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย
 
        ตอนเช้าวันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม หลังจากที่ช่วยหลวงตารับบิณฑบาตแล้ว ขณะที่จ๋องกำลังเดินไปโรงเรียน มีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้น  
 
        “ไอ้คุณจ๋องครับเมื่อวานพวงมาลัยหายไปไหนพวงนึง”
 
        “แหม ความจำดีจังนะลูกพี่ อ่ะผมให้สิบบาท ค่าพวงมาลัย” จ๋องพูดด้วยสำเนียงกวนประสาท
 
        “ไม่เอาโว้ย ข้าอยากรู้ว่าเอ็งเอาไปทำอะไร บอกมาเร็ว” ไม่มีเสียงตอบจากไอ้จ๋องมีแต่เสียงเพลงโปรดของมันที่ฟังดูคล้ายกับเพลงที่มันชอบร้อง
 
        “ก็อยากให้วันแม่นานกว่านี้หน่อย จะได้บอกความนัยให้หมด ถ้าหากปีนี้มีวันแม่บ่อยก็คงจะดี จะได้เอามาลัยให้แม่ทุกวัน”
 
        “เอ๊ะ! ไอ้นี่แปลกคนโว้ย ถามก็ไม่ตอบ ช่างเหอะแล้วอย่าลืมนะ เสาร์ อาทิตย์ไม่มีธุระอะไรก็มาช่วยข้าขายพวงมาลัยที่เดิมล่ะ”
 
        “ครับลูกพี่” เป็นเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินจากไอ้จ๋องหลังจากที่มันร้องเพลงเสร็จ
 
        ในระหว่างทางที่ผมกำลังเดินไปตามทางเท้าริมถนน ที่การจราจรหนาแน่น ผมเห็นเด็กขายพวงมาลัย เห็นรถติดและได้ยินเสียงบ่นอย่างรำคาญของคนขับรถ ซึ่งมันทำให้ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของผม ว่าการดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางการจราจรที่ติดขัด ทำให้ผมได้เห็นมุมมองชีวิตของคนมากมาย
 
        คนที่ใช้รถใช้ถนนไม่อยากให้รถติด อยากเห็นแต่ไฟเขียวเพื่อจะได้รีบไปทำธุระหรืองานของตัวเองให้เสร็จ แต่หากมองในมุมกลับกันก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่อยากให้มีไฟแดงนานๆ
 
คุณมองเห็นอะไรที่ซ่อนอยู่ในพวงมาลัยหนึ่งพวงบ้างหรือยัง
คุณมองเห็นอะไรที่ซ่อนอยู่ในพวงมาลัยหนึ่งพวงบ้างหรือยัง
 
        แม้ว่าพวงมาลัยราคาแค่ไม่กี่ตังค์ ที่อาจจะไม่มีความหมายอะไรเลยกับคนที่ขับรถสัญจรไปมาบนท้องถนน แต่สำหรับไอ้จ๋องแล้วมันอาจจะมีคุณค่าบางอย่างที่คนเหล่านั้นหรือแม้แต่ผมเองก็ไม่สามารถที่จะมองเห็นหรือเข้าใจ หากว่าไม่ได้ประสบกับมันด้วยตัวเอง
 
        “แล้วคุณล่ะมองเห็นอะไรที่ซ่อนอยู่ในพวงมาลัยหนึ่งพวงบ้างหรือยัง?”
 
 
นี่แหละ “แม่” 
 
        (เรียงความวันแม่) “แม่กินข้าวก่อนสิแม่” เสียงนุ่น เด็กหญิงวัย 12 กำลังนั่งป้อนข้าวให้แม่พลอย ที่เป็นอัมพาตพิการตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว เนื่องจากประสบอุบัติเหตุรถชน ทำให้นุ่นเด็กนักเรียนดีเด่น 3 ปีซ้อน ต้องล้มเลิกการเรียนหนังสือเพื่อมาดูแลแม่
 
        “ลูกก็กินบ้างสิ” เสียงแม่พลอยเรียกให้นุ่นกิน
 
        “หนูกินแล้ว มา...เดี๋ยวหนูเอาจานไปล้าง แม่อยู่นิ่งๆ นะ เดี๋ยวจะพาแม่ไปอาบน้ำ”
 
         “แม่ว่า ลูกเช็ดตัวให้แม่ก็พอ แล้วเป็นอย่างไงบ้าง ผักบุ้งที่บึงน่ะ มีเยอะไหม
 
        “ก็เยอะนะจ๊ะ”
 
        “เวลาไปเก็บผักบุ้งที่บึงก็ระวังๆ นะลูก เดี๋ยวตกน้ำ”
 
        “จ๊ะแม่ ระดับนี้แล้ว แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก แม่ก็นอนพักนะ เดี๋ยวหนูต้องไปวัดก่อน ไปช่วยหลวงพี่ล้างจานนะแม่ นี่ก็ขอมาหาแม่ก่อนน่ะ” นุ่น หรือชื่อจริง เด็กหญิงชมฤดี สรานฤมินทร์ บอกแม่ก่อนที่จะไปช่วยหลวงพี่
 
        "ไปคนเดียวก็ระวังตัวนะลูก”
 
        “จ๊ะแม่” หลังจากที่นุ่นไปวัด แม่พลอยก็ได้แต่นั่งเศร้า พึมพำอยู่คนเดียว
 
        “ฮื้อๆ ทำไมๆ ทำไมเราเป็นแบบนี้ ทำไมมันเป็นภาระแบบนี้ ไอ้ขาบ้านี่ ทำไมมันไม่มีความรู้สึก ทำไมมันไม่เป็นประโยชน์อะไรบ้างเลย” แม่พลอยก็ได้แต่ทุบขาที่ไร้ความรู้สึกของตนเองด้วยความคับแค้นใจ และก็เสียใจที่ต้องเป็นภาระของลูก
 
        “เฮ้ พวกเรา ลูกศิษย์สุดที่รักของหลวงพี่มาแล้วโว้ย” เสียงพวกเด็กข้างๆ วัดตะโกนดูหมิ่นนุ่นที่มาขอข้าววัดกิน แถมยังมีคนนินทานุ่นอีกว่า นุ่นมีอะไรกับหลวงพี่ แต่นุ่นก็ต้องทน ไม่ทน ก็ไม่ได้ข้าวกิน แม้ตนไม่ได้กินข้าว แต่ขอให้แม่ได้กินก็พอแล้ว นี่แหละคือความคิดของนุ่น ดูสิ ประเสริฐขนาดไหน ไม่ว่าแม่จะเป็นอย่างไร สิ่งที่ทำให้แม่ได้ก็แค่ ทำให้แม่มีความสุข ทำไมลูกหลายๆ คนไม่คิดอย่างนี้บ้างนะ ทำไมลูกหลายๆ คนจึงไม่ประเสริฐอย่างนี้บ้างนะ นั่นสิ นุ่นจึงจำเป็นต้องทน ทนกับคำดูถูกเหยียดหยาม แม้มันจะขมขื่นก็ตามที แต่จะทำไงได้ ก็ต้องจำอยู่คำเดียว...คำว่า...ทน...
 
        “อ้าว นุ่น มาแล้วเหรอ มาล้างจานข้างหลังกุฏินะ หลวงพี่เอาไปวางให้แล้ว” หลวงพี่ป๋องรูปร่างอ้วนๆ อายุประมาณ 25 ปี แกรู้ว่าฐานะของนุ่นไม่ดี และยังมีเมตตากรุณาให้ข้าวนุ่นทุกวัน
 
        “ค่ะ เดี๋ยวหนูล้างเสร็จ จะเช็ดกุฏิให้นะคะ” นุ่นถามหลวงพี่ป๋อง เพราะอยากจะตอบแทนในสิ่งที่หลวงพี่ได้ให้ไว้
 
        “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวหลวงพี่จัดการเอง อ้วนจะเป็นหมูอยู่แล้ว จะไปเก็บผักบุ้งที่บีงไปขายไม่ใช่เหรอ?”
 
        “ค่ะ แต่เช็ดกุฏิให้แค่แป๊ปเดี๋ยวเองค่ะ”
 
        “เอาเถอะน่า ไปเก็บผักบุ้งเถอะ แต่ก็ระวังตัวด้วยนะ”
 
        “ค่ะ ถ้าอย่างงั้นหนูไปก่อนนะคะ”
 
        ก่อนที่จะไป นุ่นหันมาแล้วพูดว่า “หลวงพี่ค่ะ” นุ่นมองไปที่หลวงพี่ มองลึกเข้าไปในดวงตาหลวงพี่
 
        “หนูขอบคุณมากนะคะ หนูขอบคุณจริงๆ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง หนูไม่รู้จะตอบแทนยังไงดี” นุ่นก็ได้แต่ร้องไห้ บ่อน้ำตาก็ทะลักออกมา ได้แต่กราบเท้าหลวงพี่ ทำไงได้ละ มันทำได้แค่นี้จริงๆ
 
        “ไม่เอาน่า เราก็เป็นคนด้วยกัน ถ้าจะให้เลือกหลวงพี่ก็จะให้กับข้าวนุ่นอยู่ดี รู้ไหม เพราะอะไร... ก็เพราะนุ่นเป็นคนดียังไงล่ะ ถ้าอยากตอบแทนบุญคุณหลวงพี่ละก็ ดูแลแม่ให้ดีๆ ดูแลตัวเองให้ดีๆ แค่นี้ หลวงพี่ก็ดีใจแล้ว เข้าใจไหม?”
 
        “ฮือๆ...หนูตอบแทนได้แค่นี้จริงๆ”
 
        ตกเย็น หลังจากไปเก็บผักบุ้งไปขายที่ตลาดแล้ว นุ่นก็กลับบ้านไปอุ่นกับข้าวที่หลวงพี่ให้เมื่อตอนเช้ามาให้แม่กิน
 
        “แม่ เป็นอย่างไงบ้าง อร่อยไหม”
 
        “อะไรที่ลูกทำให้ แม่ก็อร่อยหมดแหล่ะ” แม่พลอยตอบไปอย่างมีความสุข แม้สภาพร่างกายจะไม่สามารถเดินได้ แม้ฐานะการเงินจะย่ำแย่สุดขีด หรือแม้กระทั่งตัวบ้านจะมุงด้วยใบจากโทรมๆ แต่แม่พลอยก็มีความสุข เพราะได้มีลูกที่ประเสริฐอย่างนุ่น
 
        หลังจากที่สองแม่ลูกกินข้าวเสร็จก็จะเข้านอน เพราะไม่มีอะไรที่จะให้ทำแล้ว บ้านก็ไม่มีไฟ แล้วจะให้ทำอะไร อย่าถามไปถึงการดูทีวีเลย ยิ่งเป็นไปไม่ได้
ระหว่างที่ทั้งคู่นอนด้วยกันนั้น แม่พลอยก็จ้องไปที่ใบหน้าของนุ่น แล้วอยู่ๆ น้ำตาของแม่พลอยก็ทะลักออกมา
 
        “ขอโทษ แม่ขอโทษ แม่ขอโทษจริงๆ ที่ต้องทำให้ลูกลำบากอย่างนี้ ฮือๆ แม่ขอโทษ ฮือๆ...” แม่พลอยก็ได้แต่ขอโทษนุ่น ที่ทำให้นุ่นลำบาก แต่นุ่นไม่ได้ปิปากพูดอะไร มีเพียงแต่น้ำตาที่คลอเต็มเบ้าตา นุ่นมองไปที่ดวงตาของแม่ แม่ก็มองเข้าไปดวงตาของนุ่น ต่างคนต่างรู้ซึ้งถึงความผูกพันซึ่งกันและกัน และแค่นี้ก็รู้แล้วว่า นุ่นเต็มใจ และก็ดีใจที่เกิดเป็นลูกแม่
 
        “แม่ หนูก็ขอโทษ หนูขอโทษที่ดูแลแม่ได้แค่นี้ หนูทำได้แค่นี้จริงๆ” ทั้งคู่ก็ได้แต่กอดกันแน่น เหมือนกับจะหาความสุขเช่นนี้ไม่ได้อีกแล้วในชีวิต ใช่! ใครจะไปเข้าใจความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งของแม่ลูกคู่นี้ได้ไปมากกว่าทั้งคู่ล่ะ
 
        “แม่ ตื่นได้แล้ว เดี๋ยวหนูพาแม่ไปอาบน้ำนะ”
 
        “ลูกไปเถอะ ไปช่วยจัดที่ฉันให้หลวงพี่ป๋องที่วัดโน้น ไม่ต้องกังวลกับแม่นักหรอก”
 
        “จ๊ะ...แม่ ถ้างั้นหนูไปวัดหล่ะนะ” พอมาถึงวัดก็พอดีที่หลวงพี่กลับจากบิณฑบาต เลยเข้าไปไหว้แล้วก็ไปจัดที่ฉันให้หลวงพี่ พอหลวงพี่ฉันเสร็จก็เรียกนุ่นเข้าไปหา
 
        “เออ นุ่น มีโยมอุปัฐถากของหลวงพี่เขาอยากจะอุปการะเด็กนะ หลวงพี่ก็เลยแนะนำนุ่นให้เขา นุ่นคิดว่ายังไงละ อยากไปอยู่กับเขาหรือเปล่า หรือว่าอยากอยู่ที่นี่ เขาจะส่งเสียให้เรียนหนังสือ
 
        “แล้วเรื่องแม่หนูล่ะคะ”
 
        “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เพราะว่าเขาให้นุ่นอยู่ที่นี่ก็ได้ เขาจะส่งเงินมาให้”
 
        “จริงเหรอคะ โชคดีจริงๆ เลย มีคนใจบุญอย่างนี้ด้วย” นุ่นยิ้มแก้มปริ
 
        “เขาว่าจะมาหาหลวงพี่ตอนบ่ายนี้ นุ่นก็มาหาหลวงพี่ตอนบ่ายก็ได้นะ”
 
        “ค่ะ เดี๋ยวหนูขอกลับบ้านก่อนนะคะ” นุ่นดีใจสุดขีด แล้วก็รีบกลับไปบ้านเพื่อจะบอกแม่ หลังจากนั้น หนึ่งนาที นุ่นก็กลับมาพร้อมกับทำหน้าเจื่อนไม่ใช่เพราะว่าแม่พลอยห้ามหรอก....แต่ว่า..ยังไปไม่ถึงบ้านต่างหาก และที่สำคัญ...
 
        “เออ หลวงพี่คะ คือว่า...คือ หนูขอกับข้าวหน่อยได้ไหมคะ เมื่อกี้ลืมขอกับข้าวไปบ้าน”
 
        “นึกแล้ว ว่าต้องกลับมา เอ้า นี่เตรียมไว้ไห้แล้ว”
 
        “ขอบคุณค่ะ หลวงพี่นี่ใจดีที่สุดในโลกเลย หนูไปแล้วนะคะ” พูดเสร็จก็รีบวิ่งกลับไปบ้านทันที พอกลับมาถึงบ้าน นุ่นก็รีบบอกแม่ทันที
 
        “แม่ๆ มีคนเขาใจดีจะส่งเสียหนูเรียนด้วยแหละ” นุ่นทำเสียงดีใจปนตื่นเต้น
 
        “จริงเหรอ ขอบคุณเทวดา นี่แหละน้า คนดีตกน้ำก็ไม่ไหล ตกไฟก็ไม่ไหม้” แม่พลอยปลื้มใจที่ลูกสาวตัวเองจะได้เรียนต่อ ไม่ต้องมารับภาระหนักเกี่ยวกับตน
 
        “ถ้างั้น พาเขามาหาแม่หน่อยได้ไหมลูก แม่อยากพบเขา”
 
        “คงจะได้นะแม่ เดี๋ยวหนูจะถามเขาก่อน แต่ว่า...ถ้าเขาไม่มาก็ไม่เป็นไรนะแม่” นุ่นพูดอย่างนี้เพราะกลัวเขาจะไม่มาที่โทรมๆ
 
        นุ่นนั่งรออยู่ที่เก้าอี้ไม้หินอ่อนหน้ากุฏิหลวงพี่ป๋องตั้งแต่เที่ยง เพราะตื่นเต้นที่จะได้มีโอกาสเรียนต่อ และก็อยากเห็นคนใจบุญคนนั้นด้วยที่มอบโอกาสนี้ให้
 
        “ไงนุ่น มานั่งรอตั้งแต่เที่ยงเลยนะ รออีกเดี๋ยว เดี๋ยวเขาก็เข้าวัดมาแล้ว กำลังอยู่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้านอยู่”
 
        “ตื่นเต้นจังเลยค่ะหลวงพี่”
 
        “ไม่ต้องตื่นเต้นหรอก คนดี คนกตัญญู ยังไงมันก็มีแต่เรื่องที่ดีเข้ามาในชีวิตเป็นธรรมดาอยู่แล้ว”
 
        “นั่นไง มาแล้ว” หลวงพี่พูดเสร็จ ก็มีรถเบนซ์สีบอนน์กำลังเคลื่อนเข้ามาในวัด เห็นในกระจกรถแว๊บๆ ว่ามีผู้หญิงอายุประมาณ 60 เศษนั่งอยู่เบาะหลัง
 
        “โยม เชิญเข้ามาข้างในก่อนนะ” หลวงพี่ป๋องกุลีกุจอต้อนรับโยม และก็ให้นุ่นไปหาน้ำให้โยมเขาดื่ม เพราะว่านานๆ ที โยมเขาจะมาเยี่ยมสักที
 
        “นมัสการค่ะ พระคุณเจ้า ไม่ได้เจอกันนาน สบายดีหรือเปล่าเจ้าคะ”
 
        “ไม่ต้องห่วงโยม สบายดีมาก ว่าแต่โยมเถอะสบายดีหรือเปล่า”
 
        “ก็ปกติดีค่ะ แต่ก็มีบางเรื่องที่อยากจะแก้ แต่ก็แก้ไม่ได้สักที” คุณยายใจบุญพูดพร้อมกับทำหน้าเศร้า แต่ก็ไม่ได้บอกอะไรไปมากกว่านี้ และหลวงพี่ป๋องก็ไม่ได้ถามต่อด้วย
 
        “เออ...โยม ลืมแนะนำไป นี่เด็กหญิงนุ่น ชื่อจริงหลวงพี่ก็ไม่รู้หรอกนะ ปกติก็เรียกว่านุ่นเฉยๆ” หลังจากที่นุ่นยืนตัวแข็งเป็นหินมานาน สุดท้ายก็ได้พูดสักที
 
        “สวัสดีคะ หนูชื่อนุ่นค่ะ แล้วคุณผู้หญิงชื่ออะไรคะ”
 
        “หนูอย่าเรียกว่าคุณผู้หญิงเลย ดูแก่ยังไงไม่รู้ ยายชื่อ อรจมาศ สรานฤมินทร์ เรียกป้า หรือว่ายายพิมก็ได้”
 
        นุ่นทำหน้าแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เพียงแต่นึกในใจว่า เอ!! ทำไมนามสกุลเหมือนเราจังเลย นี่แหละน้า โลกมันก็แคบอย่างนี้แหละ
 
        “เออ คุณยายคะ คือ...แม่หนูเขาอยากจะพบคนใจบุญที่จะสนับสนุนให้หนูได้มีโอกาสได้เรียนหนังสือค่ะ ไม่ทราบว่า คุณยายจะไปพบหรือเปล่าคะ คือ...ถ้าคุณยายไม่ไปก็ไม่เป็นไรนะคะ เพราะว่ามันสกปรก แถมยังเดินทางลำบากอีกด้วย”
 
        “ไม่เป็นไรหรอกหนู แค่นี้เอง ยายก็อยากจะไปดูแม่หนูเหมือนกันว่าเป็นยังไง เห็นหลวงพี่บอกว่าเป็นอัมพาตไม่ไช่เหรอ อีกอย่าง เขาจะได้ดีใจที่เห็นยาย แต่ขอให้ยายคุยกับหลวงพี่ก่อนก็แล้วกันนะ ประมาณ บ่ายสามเป็นอย่างไง”
 
        “ได้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” นุ่นได้แต่มองคุณยาย มองเข้าไปในดวงตาของยาย แค่นี้...ก็รู้แล้วว่านุ่นสำนึกในบุญคุณของยายแค่ไหน ที่ได้มอบโอกาสในการเรียนหนังสือ
 
        “เด็กนี่ ดูเป็นเด็กดีใช้ได้นะคะ หลวงพี่”
   
        “อาตมารับรองเลยโยม ว่าเด็กคนนี้เป็นคนดีแน่ๆ นุ่นเป็นเด็กกตัญญูมากเลย พออาตมารู้ว่าฐานะเด็กคนนี้เป็นยังไง อาตมาก็ได้แต่ช่วยเท่าที่ช่วยได้ ดีนะที่โยมอยากจะช่วยเด็กน่ะ ”
 
        หลังจากที่คุณยายใจบุญได้นัดให้นุ่นมารับตอนบ่ายสามแล้ว นุ่นก็รีบวิ่งกลับบ้านไป กะจะจัดแจงบ้านให้ดูดีกว่าเดิม และก็จัดหาน้ำ ผลไม้เท่าที่จะหามาได้ แต่ก็ผิดสังเกต เอ๊ะ! แม่อยู่ไหน
 
        “แม่ๆ แม่อยู่ไหน” นุ่นร้องเสียงดัง แต่ก็ไม่มีเสียงแม่พลอยตอบ “แม่ แม่อยู่ไหน” นุ่นกังวลหาไปทั่วบ้านก็ไม่เจอ “แม่ๆ แม่หายไปไหน
 
        “ลูกๆ แม่อยู่นี่ เสียงของแม่พลอยที่กำลังออกจากห้องน้ำกำลังใช้มือดันพื้นเพื่อใช้มือต่างเท้าในการเดินมาที่ตัวบ้าน
 
        “แม่ ฮือๆ แม่อย่าทำอย่างนี้อีกนะ ฮือๆ...รู้ไหมหนูเป็นห่วงแม่แค่ไหน แม่อย่าทำให้หนูตกใจอย่างนี้อีกนะ ฮือๆ...ถ้าหนูได้โอกาสเรียนหนังสือ แต่แม่ไม่อยู่แล้วหนูจะเรียนไปเพื่ออะไร หนูไม่มีแม่ หนูอยู่ไม่ได้หรอกนะ ฮือๆ..” นุ่นสะอึกสะอื้นกอดแม่ แต่แม่นี่สิเมื่อได้ยิน ทำให้สะอึก ทำไมเราคิดสั้นอย่างนี้ เราคิดอะไรไป ทำไมเราเป็นคนแบบนี้ แม่พลอยคิดในใจ พร้อมกับเก็บขวดยาอะไรบางอย่างไว้ในกระเป๋าเสื้อ แน่นอนแม่พลอยคิดจะฆ่าตัวตาย หากมาช้ากว่านี้ ก็คงจะไม่ทันการณ์แน่ๆ เพราะแม่พลอยรู้ว่าเป็นภาระของลูก อีกทั้งรู้ว่าลูกเราจะได้ดีแล้ว ถ้าไปอยู่กับคุณยายใจบุญคนนั้น ถ้าหากอยู่กับเราก็ไม่ดีขึ้น สู้ไปอยู่กับผู้หญิงใจบุญคนนั้นไม่ดีกว่าเหรอ ถ้ามาลำบากดูแลเรา ก็จะเป็นภาระต่อลูกเปล่าๆ แต่เมื่อแม่พลอยได้ยินประโยคนี้ ทำให้แม่พลอยตั้งคำถามใหม่ว่า แท้ที่จริงเราคิดจะเอาตัวรอดใช่ไหม เราอยากจะทิ้งให้ลูกอยู่โดดเดี่ยวใช่ใหม เราเห็นแก่ตัวใช่ไหม หลังจากนุ่นพาแม่เข้าบ้าน ก็เหลือบดูนาฬิกา 15.32 น.
 
        “แม่ เลยเวลานัดกับคุณยายพิมแล้ว ทำไงดี”
 
        “ลูกลองไปดูที่วัดสิ เผื่อเขาจะรอ” แม่พลอยกังวลใจแทนลูก กลัวลูกจะพลาดโอกาสเรียนหนังสือ
 
        พอนุ่นวางแม่ลงบนเตียงแล้ว ก็รีบวิ่งออกไปนอกบ้าน แต่ก็เจอคุณยายยืนอยู่หน้าบ้านแล้ว เนื่องจากนุ่นรีบวิ่งกะจะไปที่วัด เลยเปิดประตูทิ้งไว้ ทำให้คุณยายมองเห็นแม่ของนุ่น
 
        แต่คุณยายไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้ขยับตัว ได้แต่ยืนตะลึง พอนุ่นเหลียวกลับไปดูแม่ แม่ก็ได้แต่นั่งอยู่บนเตียงตะลึง คุณยายน้ำตาคลอเบ้า จ้องไปที่แม่พลอย ส่วนแม่พลอยก็จ้องกลับไปที่ดวงตาของคุณยาย
 
        “ลูก” เสียงสั่นๆ ของคุณยายที่ชื่อ อรจมาศ สรานฤมินทร์ หลังจากนั้นก็ได้แต่ทรุดนั่งอยู่กับพื้น พร้อมกับบ่นพึมพำไปมาว่า “เลี้ยงลูกไม่ดี ทำไมเราเป็นคนแบบนี้ นี่หรือที่เรียกว่าแม่ เรามันไม่ดี เรามันเป็นแม่ไม่ดี ฮือๆ..." ส่วนแม่พลอย หรือชื่อจริง นฤมล สรานฤมินทร์ ก็ได้แต่ตะเกียกตะกายลงมาจากเตียง
 
        “แม่ หนูขอโทษ หนูขอโทษจริงๆ หนูมันเป็นลูกไม่รักดี หนูมันเลว ฮือๆ หนูไม่สมควรเป็นลูกแม่ ฮือๆ...” เสียงร้องโฮของแม่พลอย ที่ดังก้องทุ่งเหมือนกับว่าอยากจะปลดปล่อยความรู้สึกผิด ที่อัดอั้นมานานแสนนานให้ทุกคนรู้ในสิ่งที่ตนเองทำในอดีต สิ่งที่ต้องทำให้แม่เสียใจ ที่ต้องหนีมากับหนุ่มรักแรกที่เรียนมัธยมด้วยกัน แต่สุดท้าย ผู้ชายก็ทิ้ง เหลือไว้แต่พยานตัวน้อยที่แม่พลอย หรือ นฤมล สรานฤมินทร์ ตั้งชื่อให้ว่านุ่น หรือ ชมฤดี สรานฤมินทร์ นั่นเอง
 
        “แม่ หนูไปเรียนก่อนนะ” เสียงใสๆ ของนุ่นค่อยๆ ดังออกมาจากคฤหาสน์หลังโต
 
        “ไม่ใส่บาตรหลวงพี่ป๋องก่อนเหรอ” เสียงแม่พลอยก็ตามมา เดินมาพร้อมกับจูงหญิงใจบุญ แน่นอน นั่นก็คือ ยายพิมของแม่พลอยนั่นเอง ส่วนเรื่องที่แม่พลอยเดินได้ นับว่าเป็นวาสนาของแม่พลอย เพราะไปฝึกกายภาพบำบัด ทำให้สามารถเดินได้อีกครั้ง
 
        “เจริญพรโยม เป็นอย่างไงบ้าง คงจะสบายดีกันทุกคนนะ นี่แหละน้า คนดี คนกตัญญูกตเวที ทำยังไงก็ได้ดีกันทุกคน อาตมาตระหนักถึงกรรมที่บุคคลได้ทำไว้ หากทำดี ก็ย่อมได้ดี ทำชั่ว ก็ได้ชั่ว โยมก็คงจะเห็นเป็นประจักษ์แล้ว” พอหลวงพี่ป๋องรับบาตรเสร็จก็กลับวัด เหลือไว้แต่ นุ่นเด็กหญิงที่กตัญญูกตเวที แม่พลอยที่เดินทางผิดพลาดมาครั้งหนึ่งในชีวิต และยายพิม ที่ได้ถอดชะนักติดหลังเรื่องลูกได้แล้ว ทั้งสามคนกำลังกอดกันอย่างมีความสุข
 
ความรักที่ไม่สามารถหาจากที่ไหนได้อีกแล้วนอกจากที่ไออุ่นของแม่
ความรักที่ไม่สามารถหาจากที่ไหนได้อีกแล้วนอกจากที่ไออุ่นของแม่
 
        “แม่ หนูจะไม่ทำให้แม่ผิดหวังอีกต่อไป เพราะก่อนหน้านี้ หนูทำให้แม่ต้องลำบากมามากพอแล้ว” เสียงแม่ของนุ่นพูดกับยายพิมอย่างสำนึกในความรัก...ที่ไม่สามารถหาได้จากที่ไหนได้แล้ว นอกจากที่...ไออุ่นแม่
 
จะทำอะไร จงคิดให้รอบคอบ คิดถึงคนที่รักเรา คิดถึงคนที่เรารัก ก่อนการกระทำนั้นจะผิดพลาด และมันอาจจะสายเกินแก้ก็ได้
 
 
สายฝนกับความเหงา 
 
        (เรียงความวันแม่) เพราะความเมื่อยล้าของร่างกายจากออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ผมเผลอหลับอยู่ที่ทำงานโดยไม่รู้ตัว เมื่อรู้สึกตัวจึงรีบปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อต้องการที่จะเดินทางกลับบ้าน ดูเวลาก็สามทุ่มกว่า มีเสียงจากภายนอกดังเข้ามาถึงภายในห้อง ทำให้รู้ได้ว่าฝนกำลังตกอย่างหนัก
 
        ร่มก็ไม่มีพกติดตัว แต่อาจนับเป็นโชคดี ที่ยังมีเพื่อนอีกคนอยู่ในห้องทำงาน เขาชื่อ “โก้” กำลังจะกลับบ้านเช่นเดียวกัน เขาแสดงความมีน้ำใจ และอาสาจะขับรถยนต์ส่วนตัว แวะไปส่งผมยังสถานีรถไฟฟ้าย่านคลองเตย ถ้าเดินออกจากที่ทำงานตอนนี้อาจจะเปียกทั้งตัว หรืออาจจะต้องรอจนกว่าฝนจะหยุดตก มันคงกินเวลานานน่าดูเลยละ
 
        เมื่อรถไฟฟ้ามาส่งถึงสถานีปลายทาง ผมต้องอาศัยรถเมล์เดินทางต่ออีก ยังดีที่ป้ายรถเมล์ใกล้กับทางออกของสถานีรถไฟฟ้าอยู่ใกล้กัน ทำให้เปียกไม่มาก เมื่อมองไปที่ป้ายรถเมล์ ยังมีคนจำนวนมากมายที่ยังยืนรอรถที่จะกลับบ้าน รวมถึงคนขับมอเตอร์ไซค์ อาศัยป้ายรถยืนหลบฝนโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเมื่อไหร่
 
        มองดูเวลาเกือบจะ 4 ทุ่มแล้ว รถที่ติดทำให้รถเมล์กว่าจะมาสักคันใช้เวลานานมาก เมื่อรถเมล์มาคนจำนวนมากเบียนเสียดแย่งกันขึ้น เบียดแน่นเต็มไปหมด กว่าจะลงป้ายใกล้ปากซอยบ้าน เล่นเอาสะบักสบอมเลย จากหน้าปากซอยถึงบ้านเกือบ 800 เมตร ผมจึงใช้บริการมอเตอร์ไซค์อยู่ประจำ แต่วันนี้กลับไม่มีจอดรอให้บริการสักคัน คงเพราะหลบฝนที่ตกหนักและยาวนาน เลยต้องเลือกที่เดินลุยฝนเข้าซอยแทน แม้ฝนจะตกเบาบางแล้ว แต่มันก็สามารถทำให้ตัวผมเปียกแฉะไปหมดได้
 
       อารมณ์ของผมก็ได้ถูกปลดปล่อยไปกับสายฝน เสียงฟ้าร้องและบรรยากาศที่เหงาเหลือเกินจะบรรยาย ความคิดฟุ้งซ่านมากมายเข้ามาแทนที่
 
สายฝนกับความเหงา
สายฝนกับความเหงา
 
        …น่าจะมีสักคนที่เป็นห่วงเรา โทรหาเรา น่าจะมีคนนั้น คนนี้ หรือคนที่เราต้องการอยากให้เป็นห่วงเราอยู่ข้างๆ เรา การคาดหวังยิ่งเกิดขึ้นมากขึ้น และจะเจ็บทุกครั้งที่นึกถึง…
 
        บางครั้งสายฝนก็คงอยากทำให้เราเปียก เพื่อชำระความนึกคิดหรือความรู้สึกกับบางสิ่งบางอย่างออกไป แต่ความคิดของคนเรา มันก็ช่างซับซ้อนมากกว่าที่สายฝนจะชำระจากความรู้สึกของเราไปได้
 
        เมื่อเดินผ่านมาครึ่งทาง ก็มีเสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้น คงเป็น...เธอ(คนนั้น) แน่นอน ผมแอบยิ้มอยู่ในใจ แต่ความจริงกลับไม่ใช่… กลับเป็นใครคนนึงที่โทรเข้ามาแทน
 
        “…ฮัลโหล…เป็นงัยบ้าง อยู่ไหนแล้ว ฝนตกให้ไปรับไหม” คำพูดแค่นี้ทำให้ฉันหยุดคิด หยุดเหงา หยุดทุกสิ่งที่ความคิดและความรู้สึกของผม ที่มันฟุ้งซ่านระหว่างเดินทางพร้อมกับสายฝน เปลี่ยนความรู้สึกทำให้ดีใจมาก
 
        “ไม่เป็นไรครับ...แม่ ผมเดินใกล้จะถึงบ้านแล้ว จะได้ไม่ต้องเหนื่อย” ผมตอบไป เพราะไม่อยากให้ท่านเหนื่อยที่จะออกมารับ
 
        “แล้วไม่เปียกเหรอ” แม่พูดแต่สามารถได้ยินเสียงพ่อถามอยู่ข้างๆ
 
        “นิดหน่อยครับ ฝนเริ่มจะหยุดแล้ว” ผมตอบกลับไปอีกครั้ง แท้ที่จริงตัวก็ยังเปียกอยู่
 
        “ระวังจะไม่สบายหละ กลับมาก็อาบน้ำ กินยาด้วยหละกันนะ” แม่แสดงความเป็นห่วง
 
        “ครับ” เสียงผมตอบกลับไปเป็นครั้งสุดท้าย และก่อนวางสาย ผมได้ยินเสียงรายงานการสนทนาระหว่างแม่กับผม บอกให้พ่อฟัง เมื่อวางสาย จากความรู้สึกที่เศร้าและเหงา อยากต้องการความห่วงใยจากใครคนนั้น เปลี่ยนเป็นความสุขและรอยยิ้มที่ไม่นึกมาก่อน
 
        คนเรานี่ก็แปลก มักจะต้องการความรัก ความห่วงใยจากใครบางคน ในช่วงเวลาที่เราเศร้าหรือเหงา จนบางครั้งมันทำให้เราลืม คนที่พร้อมจะห่วงใยเราเสมอนั้นคือใคร
 
        “ผมรักพ่อกับแม่ครับ และสัญญาว่าจะเป็นคนดี ดูแลท่านตลอดไป” ความรู้สึกนี้ฉันได้พูดเข้าไปในก้นบึ้งของหัวใจฉัน และมันไม่มีวันจะถูกทำลาย…ไปได้
 
 
หญิงแกร่งแห่งขุนเขา
 
        เสียงหมูร้อง อุ๊ด อุ๊ด อุ๊ด ดังกังวานขึ้นจากด้านล่างเชิงเขา ในขณะที่แสงสุริยันเริ่มริบรี่ลงทุกที กับการค่อยๆ เคลื่อนตัวลงสู่ขอบฟ้า เหมือนเป็นการบ่งบอกทุกๆ คนว่า หมดเวลาแล้วในการทำหน้าที่ เพราะสุริยันนั้นเป็นเสมือนแสงสว่างนำทางให้ชีวิตของพวกเราทุกๆ คน ให้เดินไปในทางที่ถูกและที่ควรพร้อมกับไม่ให้หลงทางอยู่ในความมืดมนของชีวิต เป็นแสงสว่างให้สรรพสิงในโลกใบนี้ได้มีชีวิตชีวา โดยที่คุณสุริยันไม่ได้คิดที่จะเอาและหวังสิ่งใดๆ ตอบแทนเลย จากสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ แต่กลับให้ความอบอุ่นและแสงสว่างอย่างไร้ขอบเขต”
 
        หลังจากความคิดที่ไร้ซึ่งขอบเขตที่เกิดขึ้นในสมองอันน้อยนิดของผม ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาแทรกว่า...“นี่ก็เย็นมากแล้วนะ” ผมก็เลยละความคิดที่ไร้ขอบเขตจากการยืนดูพระอาทิตย์ตกจนลับขอบฟ้าเช่นทุกวัน ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขาไม่ไกลจากบ้านของผมมากนัก หลังจากความคิดดังกล่าวสิ้นสุดลง ผมค่อยๆ เดินเลาะไหล่เขาในท่ามกลางกรรมชาติที่เงียบสงบ ได้ยินแต่เพียงเสียงน้ำในลำธารสายเล็กๆ ที่ไหลผ่านดัง..ซ่า..ซ่า เมื่อไหลตกจากเบื้องสูงกระทบกับขดหิน ที่เต็มไปด้วยผักกุดและวัชพืชนานาชนิด ที่ขึ้นตามสองฝั่งของลำธาร ดูแล้วเป็นภาพที่สวยงามมากยากจะหาที่ใดเปรียบเลยทีเดียว จากนั้นผมก็เดินข้ามสะพานซึ่งทำขึ้นด้วยไม้ไผ่สามท่อนอย่างช้าๆ ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม กับไอระเหยเย็นๆ ของน้ำในลำธาร กับกลิ่นดอกไม้ใบไม้นานาชนิด ที่ส่งกลิ่นหอมอบอวนไปทั่วทั้งพนาไพร ทำให้ชุ่มช่ำหัวใจไปทั่วตลอดทางกลับบ้าน หลังจากการเดินเลาะไหล่เขามาได้สักครู่หนึ่ง ก็มาถึงโค้งของไหล่เขาสุดท้ายก่อนจะถึงบ้านของผม ดูแล้วก็ใกล้ค่ำพอดี ความมืดเริ่มเคลื่อนตัวมารออยู่เบื้องหน้าเลยเร่งฝีเท้าขึ้นอีกนิด สักครู่เดียวก็เดินมาถึงหน้าบ้าน ประโยคแรกที่ได้ยินทุกครั้งหลังจากไหว้แม่และการก้าวเข้าประตูบ้านคือ “เหนื่อยไหมลูก เป็นอย่างไรบ้าง หิวไหม?” พร้อมกับรอยยิ้มของแม่ที่เปี่ยมพร้อมไปด้วย...ความรัก ความเมตตา และกำลังใจ
 
        “ไม่ครับแม่ แล้วแม่ละครับเหนื่อยไหม?”...ไม่หรอกลูก แม่สบายดี แม่ตอบด้วยรอยยิ้มเช่นเคยทุกๆ ครั้ง ผมมองแม่ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ที่เปื้อนเป็นสีดำเป็นจุดๆ กับเหงื่อที่ไหลท่วมทั้งตัวและเสื้อผ้าขาดๆ ที่เย็บแล้วเย็บอีกจนหาชิ้นดีไม่ได้ของท่าน...เมื่อเอาคำตอบที่ท่านให้ กับสิ่งที่ท่านเป็นนั้นมาเปรียบเทียบดูแล้ว...ช่างแตกต่างกันเหลือเกินราวฟ้ากับดิน บ้านของผมเป็นบ้านหลังเล็กๆ ที่สร้างอยู่ติดกับพื้นชั้นเดียว และแยกตัวออกมาอยู่บนยอดดอยที่สูงสง่า สามารถมองเห็นบ้านของเพื่อนบ้านที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ตามที่ราบเชิงเขา และโรงเรียนที่ผมกับน้องๆ ต้องเดินลงจากดอยไปเรียนทุกๆ วัน อย่างสบายอกสบายใจ ท่ามกลางเบื้องหลังที่แสนจะยากลำบากนั่นก็คือ ผู้ที่คอยหาทุนทรัพย์เพื่อจะส่งผมกับน้องๆ เรียนหนังสือ ด้วยสองมือของท่านที่คอยให้ความอบอุ่น และกำลังใจแทนทั้งสองฝ่าย “แม่ของผมไม่เคยได้เรียนหนังสือ ท่านอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้”...แต่คำสอนที่ท่านสอนก่อนทานข้าวทุกๆ เช้าและเย็น เป็นคำสอนที่นับว่าดีเลิศแสนวิเศษที่สุด ซึ่งผู้ที่เรียนจบสูงๆ บางท่านยังสอนไม่เป็นเลยทีเดียว...สักพักหนึ่งหลังจากผมอาบน้ำเสร็จแล้ว เสียงเล็กๆ ก็ดังขึ้น
 
        “พี่เฮ้อค่ะ...แม่ให้มาตามไปกินข้าว” พอผมหันไปดู...เอ๊า! น้องสาวที่น่ารักของผมนั่นเอง เดี๋ยวพี่ตามไปนะ ผมรีบใส่เสื้อและเดินตามไปที่โต๊ะอาหาร...ขณะนั้น น้องเยง น้องสาวของผม กับน้องชัว ซึ่งเป็นน้องชายและแม่นั่งรอกินข้าวอยู่...ผมเดินเข้าไปแล้วเลื่อนเก้าอี้เข้ามานั่งแล้วพูดกับแม่ว่า...แม่ครับอาหารวันนี้น่ากินจังเลย..แน่นอนล่ะ ถ้าอย่างนั้นรีบกินกันนะเดี๋ยวอาหารจะเย็นก่อน น้องๆ ผม และแม่ ก็กินข้าวร่วมกันอย่างมีความสุขเช่นเคยทุกครั้ง ท่ามกลางแสงตะเกียง...แต่ผมเกิดข้อสงสัยว่าทำไม? วันนี้แม่ถึงไม่อบรมก่อนกินข้าว หรือคุยอะไรสักเรื่องก่อนกินข้าวนะ...คงจะมีอะไรคุยหลังจากทานข้าวเสร็จแน่ สักครู่หนึ่งแม่เริ่มวางช้อนต่อด้วยน้องทั้งสอง แต่ผมก็ยังสงสัยว่า ทำไมแม่กับน้องถึงยังไม่ลุกขึ้นไปทำอย่างอื่นดังเช่นเคยอีก จากนั้นสักครู่ผมก็วางช้อนเป็นคนสุดท้าย ท่ามกลางสายตาของแม่กับน้องที่จ้องมาทางผม อย่างมีเลศนัย พอผมดื่มน้ำเสร็จ แม่ก็เริ่มต้นด้วยประโยคหนึ่งว่า..ลูกใกล้จบแล้วใช่ไหม?..ใช่ครับแม่ มีอะไรหรือเปล่า ครับ?..มีแน่ล่ะ แล้วลูกคิดว่าจะเรียนต่อไหม และคิดจะเรียนต่อที่ไหนหรือยัง? ผมนั่งฟังแม่ถามด้วยสีหน้าเป็นห่วงและด้วยความนัยที่อยากให้ผมเรียนต่อ...ไม่รู้สิครับแม่ ตอนนี้ผมยังไม่ได้คิดเลย ประกอบกับความคิดที่เริ่มเต็มไปด้วยความสับสนและว้าวุ่นเกี่ยวกับความคิดเรื่องการเรียนที่แม่สะกิดขึ้น และความเป็นห่วงแม่ที่เป็นเสาหลักอยู่ท่ามกลางมรสุมเพียงคนเดียวเกิดขึ้นจากดวงใจน้อยๆ ที่ท่านให้มา...แต่ถ้ามีโอกาสแม่ก็อยากให้ลูกเรียนต่อนะ
 
        “ลูกรู้ไหมว่าความรู้สามารถใช้สร้างประโยชน์ได้หลายยอย่าง เช่นเดียวกับมีดด้ามนี้ ที่แม่ใช้ทำไร่ ทำสวนเลยนะ” เพราะฉะนั้น แม่ถึงอยากให้ลูกได้เรียนต่อไม่อยากให้หยุดอยู่แค่นี้ ถ้ามีโอกาสหรือคิดได้อย่างไรก็บอกแม่ได้ทุกเวลาเลยนะ ด้วยสายตาที่จ้องมองผมกับรอยยิ้มของแม่ ที่เป็นเสมือนสิ่งเติมเต็มกำลังใจให้ผมมีแรงสู้ต่อ ทั้งๆ ที่ผมรู้ดีว่ามันเป็นไปได้ยากมากที่ผมจะเรียนต่อ...แต่ดูเหมือนกับว่ารอยยิ้มกับความรักที่แม่มอบให้ ทำให้ผมมีกำลังใจที่จะสู้กับอุปสรรคที่ขวางกั้น และทำให้เกิดพลังความสว่างที่จะก้าวไปด้วยใจที่มุ่งมั่นและอดทน...เอ๊า..! นี่ก็ดึกมากแล้วช่วยกันเก็บถ้วยเก็บชามแล้วรีบเข้านอนกันนะ อย่านอนดึกนักล่ะ
 
        “ครับแม่” ด้วยเสียงที่พร้อมกัน หลังจากนั้นแม่ก็ลุกขึ้นไปทำภารกิจส่วนตัวของท่านเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้ ผมกับน้องๆ ก็แบ่งหน้าที่กันทำความสะอาดโต๊ะอาหารกับถ้วยชามเช่นเคย พอเสร็จแล้วก็ง่วงนอนพอดี
 
        “พี่เฮ้อค่ะ” ขอนอนด้วยนะเสียงเล็กๆ ที่น่ารักของน้องสาวก็ดังขึ้น
 
        “อ๊าว..! วันนี้ไม่นอนกับแม่เหรอ?”
 
        ไม่ล่ะค่ะคืนนี้น้องจะนอนกับพี่ เพราะน้องกลัว เดี๋ยวพี่จบแล้วพี่จะไปเรียนไกลๆ น้องจะไม่ได้นอนกับพี่อีก ถ้าอย่างนั้นคืนนี้นอนกับพี่นะ ผมพูดขึ้นพร้อมกับจูงมือน้องสาวแล้วเดินไปยังห้องนอนของผมด้วยกัน แต่ในขณะเดียวกัน เสียงจัดของต่างๆ ของแม่ที่จะเตรียมไว้วันพรุ่งนี้ก็ยังดังขึ้นเป็นระยะๆ หลังจากน้องสาวนอนนิ่งไปสักครู่หนึ่ง แบบไม่สนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้น..ผมค่อยๆ ขยับมุ้งลุกขึ้นไปดูว่าแม่ทำงานอะไรอยู่ทำไมยังไม่นอน ในขณะที่ผมกำลังเดินไปดูแม่ท่ามกลางแสงตะเกียง แม่หันมาเจอพอดี “อ๊าว..! ยังไม่นอนหรือลูก?"
 
        “ยังครับแม่” แล้วแม่ละครับทำไม่ยังไม่นอนล่ะ นี่ก็ดึกมากแล้วนะครับ?...จะเสร็จแล้วล่ะ ไปนอนเถอะลูก...ผมมองดูแม่ที่ทำงานอย่างจริงจังท่ามกลางแสงตะเกียงอย่างโดดเดี่ยว ราวกับว่างานทุกอย่างท่านได้วางแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วถามขึ้นว่า “แม่ครับมีอะไรให้ผมช่วยทำไหมครับ?”
 
        ...ไม่มีแล้วล่ะลูก หมดแล้วไปนอนเถอะนะเดียวพรุ่งนี้ต้องตื่นไปเรียนแต่เช้า...ครับ ผมตอบพร้อมกับค่อยๆ หันหลังเดินกลับไปยังห้องนอนของตัวเองด้วยความซาบซึ้ง และสงสารแม่อย่างสุดหัวใจที่ไม่สามารถบรรยายความรู้สึกออกมาเป็นตัวอักษรได้เลยทีเดียว หลังจากผมเดินเข้าไปนอนได้สักครู่หนึ่งเสียงดังจากการทำงานของท่านค่อยๆ เงียบลง สลับกับเสียงเดินมายังห้องนอนของผม ผมมองดูท่านด้วยความแปลกใจและสงสัยว่า..จะมาทำอะไร? เมื่อท่านเดินเข้ามาถึงก็เปิดไฟฉายที่ถือมา พร้อมกับส่องดูว่าผมกับน้องนอนเป็นอย่างไร กางมุ้งเรียบร้อยไหม ท่านมาจัดมุ้งให้กับผมและน้องๆ ทุกครั้งก่อนท่านจะเข้านอนทั้งๆ ที่ทำงานมาอย่างเหน็ดเหนื่อยและเมื่อยหล้า...ทำให้น้ำตาผมซึมไหลออกมาอย่างหักห้ามมิได้ ด้วยความซาบซึ้งในความรักและความห่วงใยที่ท่านมีต่อพวกเรา ทำให้ในค่ำคืนนี้ผมได้หวนคิดถึงคำพร่ำสอนของพระอาจารย์ทุกๆ รูป และผู้ใหญ่ทุกๆ ท่านในงานกิจกรรมต่างๆ ที่ผ่านมาเกี่ยวกับผู้มีพระคุณ...นี่แหละหนาคำว่า “แม่” ที่ตราตรึงอยู่ในจิตใจของผู้คนทั่วทั้งโลก ทำให้ผมรับรู้ตั้งแต่บัดนั้นว่าทำไมท่านถึงยอมเหน็ดเหนื่อยอยู่กับงาน...จะมีสักกี่คนหนอที่รู้ซึ่งถึงความในใจที่แม่มีต่อเรา จากนั้นความเงียบที่ปกคลุมทั่วหุบเขาก็เริ่มเข้ามาแทนที่...จากความคิดก็กลายเป็นความง่วงและหลับอย่างไม่รู้ตัวไปในที่สุด
 
        พอรู้สึกตัวอีกที่...เสียงปลุกที่ไพเราะเพราะพริ้ง จากน้องไก่ราวกับว่าเป็นนาฬิกาปลุกของทุกๆ ครัวเรือน และเหมือนเป็นเสียงเตือนว่าทุกๆ คนต้องรีบตื่นกันแล้ว เพื่อมาเตรียมตัวสู้ชีวิตในวันใหม่ หลังจากนอนฟังเสียงไก่ขันสักครู่หนึ่ง ผมก็ตื่นขึ้นพร้อมกับเสียงที่ดังกังวานจากทุกๆ บ้านที่ตั้งอยู่ที่ราบเชิงเขาที่ส่งเสียงดังสะท้อนกับภูเขาที่เรียงอยู่สี่ทิศขึ้นมาถึงบ้านหลังเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนเขาที่สูงสง่าสามารถมองได้ทั่วทุกทิศทาง นั่นคือเสียง “ตำข้าว” ที่ดังขึ้นโดยมิได้นัดหมายกันของเพื่อนบ้านนั่นเอง ผมเดินไปยังห้องครัวที่สร้างขึ้นด้วยไม้ไผ่ มุงด้วยหญ้าคาและใบจากที่สามารถมองจากด้านในทะลุถึงด้านนอกได้ เห็นแม่ทำงานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว...แต่แปลกใจว่าแม่ไปไหนนะ จึงเดินออกไปยังลานหน้าบ้านตรงไปล้างหน้าที่ก๊อกน้ำหน้าบ้านที่ต่อมาจากลำธารน้ำตกสายเล็กๆ ที่เย็นชุ่มช่ำชื่นใจ...ราวกับน้ำที่แช่เย็นเอาไว้ในตู้เย็น พอเสร็จก็หันไปที่ราวตากผ้าที่ทำด้วยไม้ไผ่ลำเล็กๆ เรียงต่อกัน...เห็นแม่กำลังตากผ้าที่ซักเสร็จ ทั้งของแม่และทุกๆ คน ด้วยความขะมักเขม้น...ผมเดินเข้าไปแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิดว่า “แม่ครับผมขอโทษที่ไม่ตื่นมาช่วยแม่ทำงาน ทำไมแม่ไม่ปลุกผมละครับ?”...ก็เมื่อคืนเห็นลูกนอนดึกแม่เลยไม่ปลูกไงละ อย่าคิดมากนะพร้อมกับส่งรอยยิ้มให้บอกเป็นนัยว่าไม่เป็นไร
 
        “ลูกมานี่สิแม่จะให้ดูอะไรสวยมากเลยนะ” ผมรีบเดินเข้าไปตรงจุดที่แม่ยืนแล้วทอดสายตา ผ่านท่ามกลางความมืดสลัวๆ ที่ยังไม่สามารถมองเห็นลายมือของตัวเองชัดนักไปยังบ้านต่างๆ ที่ตั้งเรียงรายอยู่ที่ราบเชิงเขา ที่มีแสงระยิบระยับด้วยแสงตะเกียงที่จุดไว้หน้าบ้านเสมือนแสงนีออนที่ให้ความสว่างในยามเช้า ที่มีแสงระยิบระยับ เหมือนดังเช่นดวงดาวที่ส่องแสงระยิบระยับอยู่ท่ามกลางนภากาศให้ผู้คนได้เชยชมกัน พอดูได้สักพักเหมือนราวกับว่าหิ่งห้อยที่กำลังเกาะกันเป็นกลุ่ม ซึ่งเป็นแสงตะเกียงที่คอยให้แสงสว่างให้พวกเขาได้เดินทางก่อนแสงสุริยันจะจุดประกายขึ้นอีกครั้งในยามเช้า
 
        “พอแล้วลูกเข้าบ้านกันเถอะไปจัดโต๊ะอาหารกัน...เดี่ยวแม่ต้องรีบไปทำงานแต่เช้า”...ครับแม่ ผมตอบพร้อมกับหันไปมองแม่ด้วยความรู้สึกว่า เหมือนกับว่าเวลาว่างของแม่แทบจะไม่มีเลยทีเดียว ผมเดินตามแม่เข้าไปในครัวแล้วจัดโต๊ะอาหารจนเสร็จแล้ว ก็เดินเข้าไปปลุกน้องทั้งสองให้ตื่นขึ้นล้างหน้ากินข้าวแล้วเตรียมตัวไปโรงเรียนกัน ก่อนจะทานข้าวเช้าทุกครั้งแม่จะเตือนสติลูกๆ ทุกคนก่อนเสมอว่า
 
        “วันนี้ตั้งใจลับมีดของตัวเองให้ดีนะลูก”
 
        จากนั้นทุกคนก็ทานข้าวกัน วันนี้ดูแม่เร่งรีบเป็นพิเศษ คงจะเป็นเพราะอยากจะให้งานที่ทำค้างไว้เสร็จก่อนวันจบการศึกษาของผมกระมัง ผมแอบคิดขึ้นในใจ “ดูแลน้องๆ ด้วยล่ะเวลาไปโรงเรียน”...ครับแม่ผมตอบพร้อมกับมองหน้าแม่ด้วยรอยยิ้ม
 
        “แม่ต้องรีบไปทำงานก่อนนะ แม่ห่อข้าวไว้ให้เรียบร้อยแล้ว” ผมรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณและความรักที่แม่มีต่อพวกเราสามพี่น้องมาก เพราะท่านเป็นเสาหลักคนเดียวของครอบครัว
 
        “มือขวาของท่าทำหน้าที่เสมือนพ่อที่คอยปลอบใจลูกทุกคนว่า อย่ายอมแพ้นะลูก”
 
        “มือซ้ายทำหน้าที่เสมือนตัวท่านคอยปลอบใจลูกทุกคนว่า อย่ากลัวนะลูก” ที่รวมกันกอดลูกๆ ทุกคนไว้ในอ้อมอก ให้ได้รับความอบอุ่นและกำลังใจจากท่าน แม้แต่คำว่าลำบาก เหนื่อย ท่านไม่เคยแสดงให้เราได้เห็น...มีเพียงแต่รอยยิ้มที่เปี่ยมพร้อมไปด้วยความอบอุ่นและกำลังใจให้กับลูกๆ ทุกคนตลอดเวลา
 
        และแล้ววันสุดท้ายของการรอคอยก็เดินทางเข้ามาถึง...เช้าของวันนี้แม่ตื่นแต่เช้าเช่นเคย แต่ดูท่าทางท่านไม่ค่อยเร่งรีบดังเช่นทุกๆ วัน ผมเดินออกไปล้างหน้าที่ก๊อกน้ำหน้าบ้านเช่นทุกวัน เพื่อเตรียมตัวช่วยแม่ทำงานในยามเช้านี้ พอเสร็จแล้วเดินเข้าไปหาแม่ที่โรงครัว ขณะที่ผมเดินไปนั้นท่านมองหน้าผมแล้วยิ้มให้พร้อมกับพูดขึ้นว่า “วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายแล้วสินะดูตื่นเต้นแต่เช้าเลย?”...ครับแม่ วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการศึกษาของผมครับ ทางคณะครูให้นักเรียนที่จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ไปรับใบวุฒิบัตรจบการศึกษา...แม่รู้ได้อย่างไรครับนี่?
 
        “ก็ลูกเองเป็นคนบอกแม่อาทิตย์ที่แล้วไงล่ะ วันนี้แม่ก็จะไปด้วย”...มา..เข้ามาช่วยแม่ทำกับข้าวเดี๋ยวจะได้รีบไปกัน น้องๆ ล่ะตื่นกันหรือยัง?..ตื่นกันแล้วครับ ผมตอบแม่ไปด้วยพร้อมกับจัดโต๊ะอาหารไปด้วย ถึงแม้วันนี้แม่จะแต่งตัวธรรมดา แต่วันนี้แม่ดูสวยมากในความรู้สึกจากใจของผม หลังจากนั้นอีกสักครู่หนึ่งผมน้องๆ และแม่ก็ร่วมกันทานอาหารเช้าดังเช่นที่ผ่านๆ มา วันนี้ผมรู้สึกว่าจะอิ่มเร็วกว่าทุกๆ คน พอผมวางช้อนแล้วก็นั่งจ้องหน้าแม่กับน้องๆ ขณะที่กำลังทานข้าวเช้าอยู่สักพัก ผมหันไปมองหน้าแม่แล้วรู้สึกถึง “รัศมีแห่งความรักและความเมตตาต่อลูกๆ” แต่ในขณะเดียวกันผมก็รู้สึกว่า มีปัญหาร้อยแปดพันเก้าที่แสดงออกมาบนใบหน้าของแม่เช่นกัน เป็นปัญหาที่แม่ต้องทนแบกรับและแก้ไขอย่างโดดเดี่ยวและเดียวดาย พอจ้องได้สักพักหนึ่งผมค่อยๆ ลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารแล้วเดินออกไปรับลมเย็นๆ ที่ระเบียงหน้าบ้านในยามเช้า ในขณะที่ผมก้าวเดินเข้าไปถึงแล้วทอดสายตาไปยังเบื้องล่าง ที่เต็มไปด้วยบ้านที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ที่ราบเชิงเขา ที่มีเมฆหมอกปกคลุมเป็นหย่อมๆ ทำให้มองเห็นบ้านไม่ค่อยถนัดตามากนัก พร้อมกับการเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ทำให้ผมรู้สึกสวยงามมากๆ อย่างบรรยายไม่ถูกเลยทีเดียว...ดูราวกับว่าผมกำลังเหาะเหินอยู่บนท่ามกลางนภากาศ แล้วทอดสายตาลงมาอย่างนั้นเลยที่เดียว พอมองดูความสวยงามของสายหมอกในยามเช้าได้สักพักใหญ่ แสงสุริยันก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นอย่างช้าๆ และส่องแสงสว่างให้แก่ชาวโลก ขณะของการเคลื่อนตัวขึ้นพร้อมกับแสงหลากสีที่สาดส่องลงมากระทบกับสายหมอกในยามเช้าที่กำลังค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากหุบเขา ทำให้เกิดแสงเจิดจรัสแวววับ...ราวกับแสงที่สาดลงมากระทบกับเพชรพลอยแล้วสะท้นกลับฉะนั้น เป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจและสวยงามมากๆ เลยทีเดียว
 
        ทันใดนั้นเสียงแม่ก็ดังขึ้นจากในบ้าน “ลูกเฮ้อ...รีบมาแต่งตัวได้แล้วเร็วเข้า เดียวจะไปโรงเรียนกัน”
 
        “ครับแม่” ผมตอบแล้วค่อยๆ หันกลับจากการดูสิ่งมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างขึ้น ทันทีด้วยความเสียดาย ขณะที่ผมก้าวเท้าเข้าประตูผมหันไปเห็นน้องแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เลยรีบเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินออกมา น้องๆ ยืนรออยู่แล้ว
 
        “ไปกันเถอะลูกเดี๋ยวจะไม่ทันกาล” แม่พูดขึ้นพร้อมกับจูงมือน้องทั้งสองแล้วค่อยๆ เดินนำหน้าผมไปยังเส้นทางที่พวกเราใช้เดินไปโรงเรียนทุกวัน เป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ มีต้นไม้และไม้ดอกนานาชนิดขึ้นเรียงรายอยู่สองข้างทาง ที่คอยส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งพนา กับสายลมเย็นๆ และกลิ่นไอน้ำเย็นจากธรรมชาติที่ปะปนมากับสายลมทำให้ผมรู้สึกสดชื่น เย็นสบายตลอดทาง
 
        “ข้ามสะพานระวังด้วยนะลูก เสียงพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง ”
 
        “ครับแม่” จากนั้นแม่กับน้องๆ และผมก็เดินลงจากเขาที่สูงสง่ามาจนถึงหน้าโรงเรียน
 
        “รอตรงนี้นะลูกเฮ้อ...เดียวแม่ไปส่งน้องที่ห้องเรียนก่อน” แม่พูดขึ้นพร้อมกับจูงมือน้องทั้งสองเดินไปที่ห้องเรียนได้สักครู่หนึ่ง แม่ก็เดินลงมาจากอาคารเรียน เนื่องจากวันนี้หน้าเสาธงจะมีการจัดงานมอบใบวุฒิบัตร และเกียรติบัตรสำหรับรุ่นพี่ที่จบการศึกษาในปีนี้ น้องๆ จึงต้องไปเข้าแถวเคารพธงชาติที่หน้าห้องเรียน แม่ตรงมาหาผมพร้อมกับเอามือขวาเตะไหล่ผมเบาๆ แล้วพูดว่า “เราไปหาที่นั่งรอเวลาเปิดพิธีเถอะลูก”
 
        ผมกับแม่ เดินตรงไปยังโต๊ะม้าหินอ่อน ที่ตั้งอยู่ใต้ต้นสนหน้าเสาธงแล้วนั่งรอเวลาเปิดงาน ผู้ปกครองของเพื่อนนักเรียนเริ่มทยอยกันมาพร้อมกับการจูงมือมาอย่างมีความสุข บางคนก็มาพร้อมทั้งพ่อและแม่มีดอกไม้กับของขวัญต่างๆ เต็มมือไปหมด “เพื่อมาให้กำลังใจลูกในวันรับใบจบการศึกษา” ขณะที่ผมกำลังมองดูเพื่อนๆ อย่างเหม่อลอยนั้น
 
        “มือสองข้างที่อบอุ่นที่สัมผัสได้จากใจก็ยื่นเข้ามาลูบศีรษะผมเบาๆ แล้วพูดขึ้นด้วยนำเสียงอ่อนนุ่มว่า ไม่เป็นไรนะลูกเดี๋ยวกลับถึงบ้านแม่จะทำขนมอร่อยๆ ให้กินนะ”
 
        พร้อมกับขยับตัวเข้ามาโอบกอดผมไว้ในอ้อมอก ทำให้ผมรู้สึกถึงความรักที่แม่ให้หมดทั้งกายและใจ ทำไห้น้ำตาผมไหลเอ่อออกมาพร้อมกับเสียงสะอื้นโดยมิได้ตั้งตัว...ด้วยแรงแห่งความซาบซึ้งที่มีต่อแม่
 
        “แม่ครับผมรักแม่นะ ”
 
        “แม่รู้จ๊ะว่าลูกรักแม่ไม่ร้องนะคนเก่ง”
 
        อย่าร้องนะลูกแม่ก็อยู่ตรงนี้ไงเงียบนะคนเก่งของแม่ เสียงปลอบโยนของแม่ที่เต็มไปด้วยน้ำตาเอ่อล้นออกมา ยิ่งทำให้ผมไม่กล้าพูดอะไรต่ออีกอยากอยู่ในอ้อมกอดแม่อย่างเงียบแบบนี้ตลอดไป...แต่แล้วก็ถึงช่วงเวลาแห่งการมอบใบวุฒิบัตรและเกียรติบัตร ก็เข้ามาถึง เพื่อนต่างก็พาพ่อกับแม่ไปนั่งในปรามพิธีเรียบร้อยแล้ว ผมกับแม่ค่อยๆ เดินเข้าไปนั่งเกือบจะเป็นสองคนสุดท้ายในปรามพิธี ในช่วงนี้แม่จับผมแน่นเหมือนเป็นนัยบอกผมว่า “ไม่เป็นไรนะลูกแม่อยู่ตรงนี้แล้ว” ดูเหมือนช่วงนี้ แม่พยายามให้ความอบอุ่นและกำลังใจกับผมจากใจของแม่ทุกวินาทีเลยทีเดียว
 
        ช่วงแรกของการรับใบวุฒิบัตรจบการศึกษาก็ครบทุกคน ในช่วงที่สองนี้ จะเป็นการมอบเกียรติบัตรสำหรับผู้ที่สอบได้คะแนนสูงสุด ตลอดภาคการศึกษา และผู้บำเพ็ญประโยชน์แก่สถานศึกษา ซึ่งผมและเพื่อนๆ ไม่มีใครทราบมาก่อนทุกคนต่างนั่งนิ่งกันไปหมด แม่หันมาส่งยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกำลังใจให้ผม กับการจับมือผมไว้ตลอดเวลา...สุดท้ายเสียงประกาศก็ดังขึ้นพร้อมชื่อของผม และคำกล่าวชื่นชมกับเสียงปรบมือของทุกคนก็ดังขึ้น ผมหันไปมองหน้าแม่พร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่ทำให้แม่ผิดหวังในคำสอนที่ผ่านมา ผมลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวขอบคุณเพื่อนทุกคนที่ปรบมือให้กำลังใจ และเดินไปรับใบเกียรติบัตรด้วยความภาคภูมิใจอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน จากมืออาจารย์ใหญ่ของโรงเรียน พอเสร็จพิธีแล้วทุกคนที่มาในงานก็ร่วมกันทานข้าวกลางวนกันอย่างมีความสุข หลังจากทานข้าวกันเสร็จอีกสักพักหนึ่งทุกคนที่มาในงานเริ่มทยอยกันกลับบ้าน กันจนหมด
 
        “แม่ครับ..เมื่อวานพระอาจารย์วิกลมบอกว่า หลังจากรับใบแล้วให้ผมไปหาท่านแม่จะไปด้วยไหม?”
 
        “ไม่ล่ะลูก..ลูกไปเถอะเดี๋ยวแม่จะรีบไปทำงานต่อที่บ้านนะ รีบไปเดี๋ยวท่านจะรอ” แล้วอย่ากลับบ้านเย็นนักล่ะ อย่าลืมพาน้องๆ กลับด้วยเดี๋ยวแม่จะรออยู่ที่บ้านพร้อมกับรอยยิ้มที่แสนจะอบอุ่นเช่นเคย จากนั้นผมก็เริ่มออกเดินขึ้นเขาลูกที่สูงสง่าตั้งอยู่หลังโรงเรียน ที่มีการขุดบันไดเลาะไปตามไหล่เขาที่สูงชัน “เป็นเส้นทางที่ผมใช้ส่งปิ่นโตให้กับพระอาจารย์ทุกๆ วันตลอด 3 ปี นับว่าเป็นเส้นทางบุญของผมเลยทีเดียว”...สักพักก็ขึ้นไปถึงสำนักสงฆ์ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงเสียดฟ้า แล้วก็เดินเข้าไปกราบพระพุทธรูปและพระอาจารย์ที่กำลังอ่านหนังสืออยู่
 
        “นมัสการครับพระอาจารย์...เรียกผมเข้าพบมีอะไรหรือครับ?”
   
        “ปีนี้จบแล้วใช่หรือเปล่า?”
 
        “ใช่ครับพระอาจารย์”
 
        แล้วคิดที่จะเรียนต่อไหมได้ยินว่าตั้งใจเรียนดีนี่ เอาเป็นว่าเดี๋ยวพระอาจารย์พาไปเรียนต่อที่จังหวัดเชียงใหม่เอาไหม...ดีเหมือนกันครับ แต่ผมยังไม่ได้ขออนุญาตคุณแม่เลย ไม่เป็นไรหรอกเมื่อวันก่อนพระอาจารย์บิณฑบาตผ่านบ้านเรา พระอาจารย์ได้คุยกับโยมฟ้า เรียบร้อยแล้ว “ก็เหลือแต่เรานี่แหละตกลงจะไปไหม?”..ไปครับพระอาจารย์ ผมตอบด้วยจิตใจที่ว้าวุ่นและสับสนกับความคิดที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ถ้าอย่างนั้นก็ไปเตรียมตัวนะพรุ่งนี้ตอนบ่ายๆ จะออกเดินทางกัน...ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวนะครับพระอาจารย์ คุกเขาขึ้นกราบลาท่าน ผมค่อยๆ เดินลงจากสำนักสงฆ์ด้วยขั้นบันไดที่สูงชันเสมือนการเดินลงจากสรวงสวรรค์ ทีละขั้นๆ กับความคิดที่ผุดขึ้นในสมองต่างๆ นานากว่าจะเดินลงมาถึงเชิงเขา ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนในฝัน นักเรียนก็กำลังเข้าแถวกลับบ้านพอดีผมเลยนั่งรอน้องเยง กับ น้องชัว ที่หน้าโรงเรียน สักพักหนึ่ง
 
        “พี่เฮ้อค่ะ แม่ล่ะไปไหน?”
 
        “แม่ไปรออยู่ที่บ้านแล้ว”
 
        ไปทำอะไรมานี่ทำไมหน้าแดงเหมือนลูกตำลึงเลย..!
 
        “ผมพูดหยอกน้องสาวเล่นๆ” แล้วพี่ชัวล่ะไปไหน?...พี่เขากำลังเดินมาค่ะ เสียงน้อยๆ ตอบขึ้นอย่างฉะฉาน พอน้องชัวมาถึงเราสามคนก็เริ่มเดินกลับบ้านพร้อมกันด้วยเสียงหยอกล้อกันเช่นทุกๆ วัน ท่ามกลางธรรมชาติที่งดงามและอากาศที่สดชื่น พวกเราเดินมาสักพัก ก็มาถึงนะจุดชมพระอาทิตย์ตก และพระอาทิตย์ขึ้น ที่เราสามพี่น้องจะนั่งเล่นกันทุกวันเพื่อดูพระอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าในยามเย็นก่อนกลับบ้านทุกวัน แต่มาวันนี้เป็นที่น่าเสียดายที่เราสามพี่น้องต้องรีบกลับบ้านเพื่อการเตรียมตัวของผมในวันพรุ่งนี้
 
        “วันนี้เราไม่อยู่ดูพระอาทิตย์ตกนะเพราะแม่ให้รีบกลับบ้าน” เอาไว้วันหลังนะเราสามคนรีบเดินฝ่าท่ามกลางธรรมชาติ จนถึงบ้านที่ตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขาที่สูงสง่าเหมือนจุดชมวิวที่ถูกสร้างขึ้นอย่างโดดเด่นท่ามกลางธรรมชาติ “สวัสดีครับแม่”
 
        เอ๊า..! กลับมากันแล้วหรอ เอากระเป๋าไปเก็บแล้วมากินขนมกันเร็ว เราสามพี่น้องนั่งกินขนมที่แม่ทำอย่างอร่อยอย่าบอกใคร พร้อมกับข้าวที่แม่เตรียมไว้...เหมือนกับเย็นนี้แม่รู้ว่าพรุ่งนี้ผมต้องเดินทางไปเรียนต่อที่ต่างจังหวัดแล้ว พอผมและน้องๆ กับคุณแม่ที่ทานข้าวเย็นที่แม่จัดเลี้ยงฉลองให้กับผมใต้แสงไฟที่เปล่งออกมาจากตะเกียงเสร็จแล้ว เราทุกคนก็ทำหน้าที่ๆ ได้รับมอบหมายแล้ว ก็กลับมานั่งคุยกันท่ามกลางแสงตะเกียง
 
        “วันนี้พี่จะนอนกับแม่ใครจะนอนบ้าง?”
 
        “นอนครับ...นอนค่ะ”
 
        เสียงหัวเราะของน้องๆ ที่แยงกันตอบ ทำให้บ้านหลังนี้คึกครื้นกว่าทุกๆ วัน คืนนี้พวกเราจึงเข้าไปนอนกับแม่พร้อมกันแต่หัวค่ำ ผมนอนด้านซ้ายมือของแม่ น้องทั้งสองนอนด้านขาวมือของแม่ แม่เอื้อมมือมากอดเราไว้ในอ้อมอกทั้งสองแล้วพูดขึ้นว่า “ลูกเฮ้อ..วันนี้ดีใจไหมที่ได้ที่ 1”
 
        "ดีใจครับแม่"
 
        "แล้ววันนี้ไปหาพระอาจารย์ท่านว่าอย่างไรบ้าง ไปไหม?"...ผมนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ถามว่าแม่ให้ไปไหมครับ?...ไปเถอะลูกเพื่อจะได้ความรู้ใหม่เป็นวิชาติดตัว กับมือซ้ายที่อบอุ่นของแม่ค่อยๆ ลูบศีรษะผมเบาๆ แล้วพูดขึ้นว่า “อย่าเป็นห่วงแม่เลยนะแม่แข็งแรงอยู่”
 
        “ลูกรู้ไหมที่ 1 ที่ได้วันนี้เป็นแค่การเริ่มต้นในรั้วของโรงเรียนเท่านั้นเอง ลูกจงจำไว้เถอะว่า ชีวิตข้างหน้าที่ลูกจะก้าวเดินต่อไปนั้น ไม่ใช่จำกัดขอบเขตว่าอยู่ในกรอบนี้เท่านั้น จะต้องพบกับอุปสรรคต่างๆ มากมาย ที่มีทั้งบทเรียนที่ง่าย และบทเรียนที่ยากปะปนกันไป อย่าได้ประมาทนะลูก”
 
        “ครับแม่...ผมจะจำไว้”
 
        ด้วยอ้อมกอดของแม่ที่อบอุ่น ทำให้ผมหลับข้างเคียงดวงใจของแม่สบายตลอดทั้งคืน พอรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีก็ได้ยินเสียงน้องไก่ขันเป็นเสียงสูงต่ำเหมือนนาฬิกาปลุกผมในยามเช้า กับเสียงตำข้าวที่ดังกังวานจากข้างล่างเช่นเคย
 
        “ลูกเฮ้อ...ตื่นได้แล้ว ตื่นมาเตรียมตัวเร็ว พระอาจารย์ท่านส่งคนมาบอกว่า...จะเดินทางเช้านี้” ผมจึงรีบลุกขึ้น แล้วรีบไปล้างหน้าแต่งตัว มานั่งกินข้าวเช้า ที่แม่เตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ของจำเป็นทุกอย่างแม่เตรียมไว้ให้หมด ผมมองดูข้าวของที่แม่เตรียมไว้ให้ หันไปกอดแม่ด้วยความซาบซึ้งและผูกพันที่ไม่อยากจากแม่ไปไกลๆ ด้วยเสียงสะอื้นร่ำไห้แบบไม่เคยเป็นมาก่อน
 
        “ลูกเอ๋ย...ไปเถอะนะ...ไม่ใช่ไปแล้วไปลับ คิดถึงแม่ก็กลับมาหาแม่ได้ ใจแม่ก็ห่วงใยและคิดถึง แต่เพื่ออนาคตที่ก้าวหน้าของลูก แม่จึงยอมให้ลูกไปสู่สังคมที่หลากหลายวัฒนธรรม หลากหลายความคิด ...แล้วอย่าลืมล่ะว่ายังมีแม่คอยอยู่ และยามใดที่ลูกท้อแท้อย่าลืมว่าแม่ยังยืนอยู่เคียงข้างลูกเสมอนะ” ไปกินข้าวกันเถอะสายมากแล้วน้องๆ รอกินข้าวอยู่ เมื่อเดินมานั่งที่โต๊ะอาหารผมรู้สึกไม่อยากกินข้าวเลยได้แต่นั่งจ้องหน้าแม่ เพื่อดูความรู้สึกที่แสดงออกมา แต่ทุกครั้งแม่ก็ยิ้มให้เสมอ จนบ้างครั้งผมไม่สามารถเดาได้ว่าแม่คิดอะไรบ้าง สักพักหนึ่งก็เริ่มวางช้อนกัน ด้วยความเงียบเหมือนเป็นการบ่งบอกว่าผมต้องไปแล้ว...แม่พูดขึ้นว่าไปส่งพี่เฮ้อขึ้นรถกันนะ ลูกเยงกับลูกชัว... ด้วยความสงสัยของน้องสาว จึงถามขึ้นว่า “พี่จะไปไหนค่ะแม่?”...ไปเรียนจ๊ะ น้องสาววิ่งเข้ามาจับมือผมแล้วถามขึ้นว่า “พี่ค่ะพี่จะไปจริงหรอ?”...จริงสิ ผมเดินจูงมือน้องสาวเดินนำหน้าแม่กับน้องชาย ฝ่าท่ามกลางธรรมชาติที่เย็นสดชื่นในยามเช้า สักครู่ก็ลงมาถึงเชิงเขาถนนใหญ่ที่รถตู้ของพระอาจารย์จอดรออยู่แล้ว ผมหันไปมองแม่ที่กำลังเดินตามหลังมา พอมาถึงแม่มองผมด้วยสายตาที่คลอไปด้วยน้ำตา ถึงกับรีบเข้ามากอดผมไว้แน่น เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่า ในใจของแม่นั้นไม่อยากให้ผมจากไปไกลเลย กับสัมผัสถึงความหว้าเหว่และอ่างว้างและโดดเดี่ยวเดียวดายที่อยู่ในใจแม่มาตลอด แม่ค่อยๆ เอามือสองข้างมาลูบศีรษะผมอย่างเบาๆ ด้วยความรักและห่วงใย
 
        “ลูกเอ๋ย...อย่าลืมลับมีดด้ามที่แม่เอาไว้ให้นะ ถึงแม้แม่จะไม่มีอะไรให้ลูกเป็นกอบเป็นกำ แต่มีดด้ามนี้ที่แม่ให้ไว้สามารถช่วยให้ลูกมีอนาคตที่ดี มีชีวิตที่สดใสสบายในภายภาคหน้า ถ้าหากลูกหมั่นลับมีดด้ามนี้ให้แหลมคมตลอดเวลา ก็จะทำให้ลูกสบายมากยิ่งขึ้น แต่จงจำไว้ให้ดีนะว่ามีดที่แหลมคมที่สามารถสร้างสิ่งดีให้แก่ชีวิตได้ผลมหาศาล แต่ทางกลับกันถ้าลูกใช้มันในทางที่ไม่ถูกไม่ควรมันก็จะให้โทษมหันต์แก่ลูกเช่นกัน”
 
        จำไว้นะว่ายังมีหญิงแก่ๆ ยังนั่งรอคอยนับวันนับคืนอยู่ข้างหลังนะ พร้อมกับหยิบธนบัตรใบห้าร้อยบาทเก่าๆ ยื่นให้พร้อมกับห่อข้าวที่เตรียมไว้ให้สำหรับการเดินทางพร้อมทั้งน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสายตกลงสู่พื้นพระสุธา กับการค่อยๆ ปล่อยมือผมอย่างช้าๆ ราวกับว่าจะยื้อเวลาให้ได้นานที่สุด ผมค่อยๆ หันกลับพร้อมกับน้ำตาและเดินขึ้นรถตู้อย่างช้าๆ ขึ้นไปนั่งยังเบาะในสุดของรถ...ผมหันไปมองแม่กับน้องๆ ด้วยความไม่อยากจาก แต่ขณะเดียวกัน ผมเห็นสายตาของแม่ที่จับจ้องมองมาที่ผมพร้อมทั้งน้ำตาที่เอ่อล้นออกมา เป็นนัยบอกย้ำซ้ำอีกว่า “ลูกจ๋า...แม่ยังรอลูกอยู่นะ” ได้สักพักรถเริ่มเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ พร้อมกับการโบกมือลาของแม่กับน้องๆ ด้วยสายตาที่จ้องมองกันเริ่มห่าง...และ...ห่างออกไปเรื่อยๆ จนลับสายตา เป็นภาพแห่งความซาบซึ้งความรักและความห่วงใยที่ตราตรึงอยู่ในใจของผมตลอดมา
 
        “ทุกวันนี้...คุณทำอะไรให้คนที่รักคุณ เป็นห่วงคุณ ให้กำลังใจแก่คุณ และให้อนาคตทีดีๆ แก่คุณแล้ว หรือยัง?”
 
 
วันแม่ที่ 13 สิงหาคม
 
        กฤษฎายึดอาชีพเป็นคนขับรถประจำตำแหน่ง เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ เขาตั้งใจนำเงินเก็บส่วนหนึ่งของเขากลับต่างจังหวัดและพาคุณแม่ไปรับประทานมื้อเย็นในห้างสรรพสินค้าติดแอร์ คนจำนวนไม่น้อยมีความคิดเช่นเดียวกับเขา ร้านอาหารต่างๆจึงแออัดเป็นพิเศษ อย่างไรก็ดีหลังจากอดทนรอคิวไม่นานนัก กฤษฎาก็ได้รับประทานอาหารกับคุณแม่นอกบ้านสมใจ กฤษฎากอดและบอกรักคุณแม่ คุณแม่ของเขามีความสุขมาก
 
        นฤทธิ์ยึดอาชีพเป็นพนักงานกินเงินเดือนบริษัทยักษ์ใหญ่ในเครือทิพยพาณิชย์ เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ เขาวางแผนพาคุณแม่พร้อมกับครอบครัวไปเที่ยวทะเลในวันหยุดสุดสัปดาห์พร้อมรับประทานมื้อเย็นดีๆซักมื้อ จึงเจียดเงินในบัญชีไปจองโรงแรมห้าดาวริมชายหาดแห่งหนึ่ง พร้อมกับที่นั่งสำหรับมื้อเย็นในภัตตาคารหรู ถึงแม้ต้องเสียเงินไม่ใช่น้อยและมีลูกค้าจำนวนมาก แต่นฤทธิ์ก็ได้รับประทานมื้อเย็นสุดหรูพร้อมกับคุณแม่และครอบครัวสมใจ เขากอดและบอกรักคุณแม่ คุณแม่ของเขามีความสุขมาก นฤทธิ์จึงทิปเงินก้อนหนึ่งให้กับพนักงานเสิร์ฟ
 
        ภูเบศร์ยึดอาชีพเป็นนักธุรกิจถือหุ้นใหญ่ในเครือธุรกิจทิพยพาณิชย์ เนื่องจากปกติไม่ค่อยมีเวลาว่างเสียเท่าไหร่ ในโอกาสวันแม่แห่งชาติเขาจึงวางแผนใช้เวลากับคุณแม่และทำอาหารมื้อเย็นให้คุณแม่รับประทานด้วยตนเอง ภูเบศร์ประกาศวันเสาร์เป็นวันหยุดให้กับพนักงานในเครือ และเนื่องจากไม่มีความจำเป็นที่จะเดินทางเขาจึงอนุญาตให้คนขับรถของเขากลับไปบ้านต่างจังหวัดได้ ภูเบศร์ได้ใช้เวลาในวันหยุดกับคุณแม่ และได้ทำอาหารมื้อเย็นรับประทานกับคุณแม่สมใจ เขากอดและบอกรักคุณแม่ คุณแม่ของเขามีความสุขมาก
 
        ธนินท์ยึดอาชีพเป็นพนักงานเสิร์ฟอาหารในภัตตาคารหรูแห่งหนึ่ง ในวันแม่แห่งชาติ เขาต้องขึ้นกะเช้าเย็นติดกันเนื่องจากพนักงานจำนวนมากลากลับบ้านในวันแม่ เขาโทรไปขอโทษคุณแม่พร้อมกับอธิบายสาเหตุให้ฟัง คุณแม่ของเขาเข้าใจและภูมิใจในตัวลูก ที่ได้สร้างความสุขให้กับครอบครัวที่ไปรับประทานอาหารในวันแม่ เขาบอกรักคุณแม่และวางสายไป ธนินท์ได้ทิปจากลูกค้ามาหลายก้อนในวันนั้น จึงตั้งใจนำเงินจำนวนนั้นพาคุณแม่ของเขาไปเที่ยวในวันพรุ่งนี้ ในวันที่ 13 สิงหาคม คุณแม่ของธนินท์มีความสุขมาก
 
 
เมื่อฉันแก่ตัวลง...

เมื่อฉันแก่ตัวลง...ไม่ใช่ฉันที่เคยเป็น
ขอโปรดเข้าใจฉัน มีความอดทนต่อฉันเพิ่มขึ้นอีกสักนิด
ถ้าฉันทำน้ำแกงหกใส่เสื้อตัวเอง...ถ้าฉันลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า
ขอให้คิดถึงตอนเธอเด็กๆ ...ที่ฉันสอนเธอหัดทำทุกอย่าง
 
ถ้าฉันเริ่มพร่ำบ่นแต่เรื่องเดิมๆ ที่เธอรู้สึกเบื่อ...
ขอให้อดทนสักนิด อย่าเพิ่งขัดฉัน
ตอนเธอยังเล็กๆ ฉันยังเคยเล่านิทานซ้ำๆ ซากๆ
จนเธอหลับเลย
 
ถ้าฉันต้องการให้เธอช่วยอาบน้ำให้ อย่าตำหนิฉันเลยนะ
ยังจำตอนที่เธอยังเล็กๆ ได้ไหม
ฉันต้องทั้งกอดทั้งปลอบเพื่อให้...เธอยอมอาบน้ำ
 
ถ้าฉันงงกับวิทยาการใหม่ๆ โปรดอย่าหัวเราะเยาะฉัน...
จำตอนที่ฉันเฝ้าอดทนตอบคำถาม “ทำไม ทำไม” ทุกครั้งที่เธอถามได้ไหม
 
ถ้าฉันเหนื่อยล้าจนเดินต่อไม่ไหว
ขอ...จงยื่นมือที่แข็งแรงของเธอออกมาช่วยพยุงฉัน...
เหมือนตอนที่ฉันพยุงเธอให้หัดเดินในตอนที่เธอยังเล็กๆ

หากฉันเผอิญลืมหัวข้อที่กำลังสนทนากันอยู่ โปรดให้เวลาฉันคิดสักนิด
ที่จริงสำหรับฉันแล้ว...กำลังพูดเรื่องอะไรไม่สำคัญหรอก
ขอเพียงมีเธออยู่ฟังฉัน...ฉันก็พอใจแล้ว

ตอนนี้ถ้าเธอเห็นฉันแก่ตัวลง...ไม่ต้องเสียใจ...
ขอให้เข้าใจฉัน...สนับสนุนฉันให้เหมือนตอนที่ฉันสนับสนุนเธอ.ตอนที่เธอเพิ่งเรียนรู้อะไรใหม่ๆ
 
ในตอนนั้น...ฉันนำพาเธอเข้าสู่เส้นทางชีวิต
ตอนนี้...ขอให้เธอเป็นเพื่อนฉันเดินไปให้สุดเส้นทางของชีวิต...
โปรด...ให้ความรักและความอดทนต่อ...ฉัน
 
ฉันจะยิ้มด้วยความขอบใจ...ในแววตาอันฝ้าฟางของฉัน...
มีแต่ความรักอันหาที่สิ้นสุดมิได้ของฉันที่มีให้กับ...เธอ
 
 
บทกลอนซึ้งๆ เนื่องในวันแม่
 
งานวันเกิด ยิ่งใหญ่ ใครคนนั้น
ฉลองกัน ในกลุ่ม ผู้ลุ่มหลง
หลงลาภยศ สรรเสริญ เพลินทะนง
วันเกิดส่ง ชีพสั้น เร่งวันตาย

อีกมุมหนึ่ง ซึ่งเหงา น่าเศร้าแท้
หญิงแก่แก่ นั่งหงอย และคอยหาย
โอ้วันนี้ ในวันนั้น อันตราย
แม่คลอดสาย โลหิต แทบปลิดชนม์

วันเกิดลูก เกือบคล้าย วันตายแม่
เจ็บท้องแท้ เท่าไร ก็ไม่บ่น
กว่าอุ้มท้อง กว่าคลอด รอดเป็นคน
เติบโตจน บัดนี้ นี่เพราะใคร

แม่เจ็บเจียน ขาดใจ ในวันนั้น
กลับเป็นวัน ลูกฉลอง กันผ่องใส
ได้ชีวิต แล้วก็เหลิง ระเริงใจ
ลืมผู้ให้ ชีวิต อนิจจา

ไฉนเรา เรียกกัน ว่า"วันเกิด“
"วันผู้ให้กำเนิด" จะถูกกว่า
คำอวยพร ที่เขียน ควรเปลี่ยนมา
ให้มารดา คุณเป็นสุข จึงถูกแท้

เลิกจัดงาน วันเกิด กันเถิดนะ
ควรแต่จะ คุกเข่า กราบเท้าแม่
รำลึกถึง พระคุณ อบอุ่นแด
อย่ามัวแต่ จัดงาน ประจานตัว
 
เรียงความวันแม่ ตอน "ดวงใจของผม"

         เรียงความวันแม่:  “พี่จ๋า แม่ไปไหนจ๊ะ” เสียงใสๆ ของหนูน้อยเอ่ยถามพี่สาวด้วยความคิดถึงแม่

        “แม่ไปเที่ยวจ้ะ พรุ่งนี้แม่ก็กลับมาแล้ว นอนหลับเสียนะ” น้ำเสียงอันสั่นเครือด้วยความหนาวของเด็กหญิงวัย 11 ปี รูปร่างเล็ก ผิวคล้ำ หน้าตาแลดูมอมแมมปราศจากเครื่องแป้ง ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นสีทึมๆ มีรอยขาดที่พยายามปะชุนหลายแห่งเนื่องจากผ่านการใช้งานมาอย่างหนักและเป็นเวลานาน เธอกำลังปลอบใจเด็กชายตัวน้อยในอ้อมกอดของเธอ ให้หยุดร้องไห้งอแงด้วยเอ็นดูเป็นอย่างยิ่ง เธอนั่งอยู่บนแคร่ไม่ไผ่ผุๆ ใต้ถุนบ้านไม้เก่าและทรุดโทรม เพราะขาดการดูแลซ่อมแซมจากเจ้าของบ้าน ท่ามกลางสายลมเย็นและอากาศที่หนาวจัดของค่ำคืนแห่งฤดูหนาว ที่แสนโหดร้ายสำหรับเด็กน้อยผู้แร้นแค้นเช่นเธอ ทว่าสำหรับคนส่วนใหญ่ที่มีชีวิตสุขสบายแล้ว ฤดูหนาวอาจจะเป็นฤดูแห่งความสุข เพราะอากาศที่เย็นสบายและอากาศหนาวเช่นนี้ ก็ยิ่งเป็นแรงดึงดูดใจให้เขาเหล่านั้นยอมเดินทางไกลจากเมืองใหญ่ทั่วทุกสารทิศขึ้นมาตั้งแค้มป์ก่อกองไฟ มีกิจกรรมเฮฮาสนุกสนานกันบนยอดดอยสูงทางภาคเหนือของประเทศไทย แต่สำหรับเด็กน้อยผู้นี้แล้วฤดูหนาวไม่ใช่สิ่งที่วิเศษสำหรับเธอเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังเป็นฤดูกาลที่เลวร้ายคอยทรมานร่างกายของเธอให้ต้องทนทุกข์ เพราะลำพังเพียงเสื้อผ้าเก่าๆ ที่เธอมีอยู่เพียงไม่กี่ตัว ทั้งยังใส่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเนื้อผ้าบางและขาดคงไม่เพียงพอที่จะทำให้ร่างกายของเธอมีความอบอุ่นเพิ่มขึ้นได้

        เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอแล้ว ถือว่าเธอเป็นผู้ใหญ่เกินวัยมาก เพราะเธอต้องทำงานหนักเกินตัวตั้งแต่เด็ก ไม่มีเวลาไปวิ่งเล่นสนุกสนานอย่างที่เด็กในวัยของเธอควรจะเป็น ทุกๆ เย็นหลังจากกลับจากโรงเรียนเธอต้องช่วยแม่ทำงานทุกอย่าง และยิ่งเมื่อผู้เป็นพ่อที่เคยเป็นเสาหลักของครอบครัวที่คอยทำงานหาเงินมาจุนเจือครอบครัว ต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับมาอีกเลย ยิ่งทำให้เธอต้องลำบากมากยิ่งขึ้นเป็นร้อยเป็นพันเท่า เพียงเท่านี้ยังไม่พอโชคชะตาก็เล่นตลกกับเธออีกครั้ง เมื่อผู้เป็นแม่ต้องกลายเป็นคนบ้าเสียสติไปเมื่อรู้ข่าวว่าสามีอันเป็นที่รักต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับมา หนูน้อยต้องรับภาระทุกอย่างโดยไม่มีทางเลือกว่าเธอต้องการทำสิ่งเหล่านั้นหรือไม่ ทั้งต้องดูแลแม่ที่ผู้ใดได้พบเห็น ต่างพากันเรียกว่าคนบ้า และน้องชายวัย 2 ขวบที่ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าพ่อเช่นเดียวกับเธอ ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ เธอหมดโอกาสทำในสิ่งที่เธอรักและเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ชีวิตของเธอดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ได้ นั่นก็คือ เธอหมดโอกาสได้เรียนหนังสือ

        เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว จันทร์ หญิงสาวชาวเหนือวัย 20 ปีต้นๆ ที่กำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เด็กและได้อาศัยอยู่กับป้าและลุง ได้เดินทางจากหมู่บ้านเล็กๆในอำเภอรอบนอกของจังหวัดเชียงราย เพื่อเข้ามาทำงานในกรุงเทพมหานคร เมืองใหญ่ที่คนบ้านนอกเช่นเธอจำนวนไม่น้อย คิดว่าเป็นเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ มีแต่ความเจริญ เมื่อใครที่เข้ามาทำงานที่นี่แล้วจะต้องเจอแต่สิ่งดีๆ เปรียบดังบ่อเงินบ่อทองที่ถ้าใครได้เข้ามาแล้วจะประสบความสำเร็จ สามารถเก็บเงินเก็บทองเป็นกอบเป็นกำ สร้างฐานะให้มั่นคงได้ และเมื่อจันทร์ได้เห็นตัวอย่างของรุ่นพี่ในหมู่บ้านที่เข้ามาแล้วสามารถเก็บเงินจนตั้งตัวได้ ก็เป็นเหมือนแรงบันดานใจที่ทำให้ความหวังและความฝันของจันทร์ ที่จะเข้าเมืองกรุงมากอบโกยเงินทองนั้นสูงมากขึ้นไปอีก

       จันทร์พยายามอดออมเก็บหอมเงินทุกบาททุกสตางค์ ที่ได้จากการรับจ้างเล็กๆ น้อยๆ ทั้งในหมู่บ้าน และหมู่บ้านใกล้เคียง ตามประสาคนที่ได้รับการศึกษาน้อย ต้องดิ้นรนปากกัดตีนถืบมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย เพื่อที่จะนำเงินนั้นมาใช้เป็นค่ารถในการเดินทาง รวมทั้งเป็นค่าอาหาร ให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ในเมืองกรุงได้ในช่วงแรกของการหางานทำ หลังจากมาถึงกรุงเทพมหานครได้สองวัน จันทร์และเพื่อนร่วมอุดมการณ์อีกสองคน ก็หางานทำได้โดยได้งานเป็นสาวโรงงานอยู่ย่านรังสิต จันทร์ตั้งใจทำงานเก็บเงินอย่างหนัก ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เธอจะไม่ลาหยุดงานเลยแม้แต่วันเดียว จนทำให้เธอสามารถเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง เธอไม่รีรอที่จะส่งเงินก้อนนั้นกลับไปให้ป้าและลุงผู้มีพระคุณสูงสุดในชีวิตเธอ เธอคิดเสมอว่าถ้าไม่มีป้าและลุงที่คอยเลี้ยงดูเธอมา ถึงแม้จะไม่ได้มีชีวิตที่ดีเฉกเช่นชีวิตคนมีเงินทั่วๆ ไปก็ตามเธอก็คงจะไม่มีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งลุงและป้าของเธอคือผู้ช่วยเหลือและให้ชีวิตใหม่แก่เด็กกำพร้าพ่อแม่เช่นจันทร์

       ชีวิตการเป็นสาวโรงงานของจันทร์ดำเนินไปได้ประมาณปีเศษ จันทร์ก็ได้พบรักกับชายหนุ่มนามว่าสิน เป็นหนุ่มจากร้อยเอ็ด ทั้งเขาและเธอทำงานอยู่ในโรงงานเดียวกันโดยสินเข้ามาก่อนหน้าจันทร์ประมาณ 1 ปี ชีวิตของสินก็ไม่ได้แตกต่างจากจันทร์มากมายนัก เพราะทั้งคู่ต่างก็ดั้นด้นเดินทางเข้าเมืองใหญ่เพื่อหนีความยากจนแร้นแค้นของบ้านนอกเช่นเดียวกัน แต่จะแตกต่างกันอยู่ตรงที่ว่า สินมาจากครอบครัวที่สมบูรณ์กว่าจันทร์เท่านั้นเอง เพราะเขามีทั้งพ่อและแม่ ไม่ได้เป็นเด็กกำพร้าเหมือนจันทร์

       ด้วยความที่ทั้งสินและจันทร์ทำงานอยู่ในโรงงานเดียวกัน ได้พบเจอกันอยู่ทุกวัน มีโอกาสพูดคุยกันบ้างตามประสาเพื่อนร่วมงาน ทั้งสองมีหลายๆ อย่างที่เหมือนกันโดยเฉพาะเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ ทำให้ทั้งคู่เข้ากันได้ง่ายและนั่นทำให้ทั้งคู่มีความสนิทสนมกันมากขึ้น จนในที่สุดความสนิทสนมนั้นก็ได้ก่อตัวขึ้นเป็นความรัก ทั้งสินและจันทร์ตกลงคบหาเป็นคนรักกันได้ประมาณครึ่งปี ทั้งคู่ก็ตัดสินใจอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยาในห้องเช่าเล็กๆ แต่เปรียบดังเรือนหอหลังน้อยๆ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความสุขกลางเมืองใหญ่ ตลอดระยะเวลาที่สินและจันทร์ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันนั้น สินปฏิบัติตัวเป็นสามีที่ดีมาตลอด ไม่มีขาดตกบกพร่อง คอยดูแลเอาใจใส่จันทร์ทุกอย่าง มีความซื่อสัตย์และจริงใจต่อจันทร์เป็นอย่างยิ่งตามประสาของหนุ่มบ้านนอกคนซื่อ

       เจ็ดเดือนให้หลัง จันทร์เริ่มรู้สึกได้ถึงอาการในร่างกายของตัวเองที่เปลี่ยนไป ไม่ปกติเช่นแต่ก่อน อย่างเช่นเริ่มเหนื่อยง่าย ทำงานหนักๆ อย่างที่เคยทำไม่ไหว อ่อนเพลียง่าย และที่สำคัญคือมีอาการเวียนศีรษะ อาเจียนเมื่อได้กลิ่นไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหอมหรือกลิ่นฉุน สิ่งนั้นทำให้จันทร์คิดหนัก เพราะจันทร์กลัวว่าตนจะตั้งครรภ์ ถึงแม้ว่าใจหนึ่งจะรู้สึกดีที่จะได้ให้กำเนิดลูกตัวน้อยๆ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอและสินผู้เป็นสามี แต่อีกใจหนึ่งก็กังวลถึงเรื่องภาระความรับผิดชอบต่างๆ ที่จะเพิ่มมากขึ้น และที่สำคัญคือหากเธอมีลูกในตอนนี้ แน่นอนว่าเธอและสามีคงไม่สามารถเลี้ยงดูลูกให้มีชีวิตที่ดีได้ เพราะทั้งจันทร์และสินยังไม่มีความพร้อมในเรื่องการเงิน

          ในที่สุดจันทร์ก็ตัดสินใจไปพบแพทย์ เพื่อตรวจร่างกายที่คลินิกเล็กๆ แห่งหนึ่งบริเวณใกล้เคียงกับห้องพักของเธอ จันทร์นั่งรอผลตรวจด้วยความตื่นเต้นบวกกับความกังวลอยู่หน้าห้องตรวจ ไม่นานนักนางพยาบาลผู้ช่วยแพทย์ก็เดินตรงมายังเธอและยื่นเอกสารฉบับหนึ่งให้กับเธอ จันทร์เปิดอ่านด้วนความตื่นเต้นในใจก็พลันภาวนาว่าขอให้ผลออกมาไม่เป็นอย่างที่เธอกังวลด้วยเถิด เมื่อเธอทราบผลตรวจแล้วในใจก็สับสนวุ่นวาย จนเธอทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจกับผลตรวจนั้น จันทร์พยายามรวบรวมสติและกำลัง แล้วเดินกลับไปยังห้องเช่าเล็กๆ ที่เธอและสามีพักอยู่ เมื่อถึงห้องจันทร์ทรุดตัวลงนอนบนฟูกเก่าๆ ที่ปูทับด้วยผ้าปูที่นอนสีเขียวอ่อนๆ ด้วยความอ่อนล้า ไม่นานนักสินก็กลับมา เมื่อเห็นจันทร์มีอาการเศร้าซึม ก็ทำให้เขาคิดมากตามไปด้วย เพราะตั้งแต่ใช้ชีวิตร่วมกันมาเขายังไม่เคยเห็นจันทร์มีอาการอย่างที่เป็นอยู่ในวันนี้มาก่อนเลย เขาถามไถ่ถึงอาการของจันทร์ทันทีและคำตอบที่ได้จากภรรยาของเขาก็คือ จันทร์และเขากำลังจะมีลูกด้วยกัน ความรู้สึกของเขาไม่ได้ต่างไปจากจันทร์เลย เมื่อได้รู้ข่าวที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าข่าวดีหรือข่าวร้ายดี บรรยากาศในห้องแคบๆ เงียบงันมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความคิดในหัวของเขามันวุ่นวายไปหมด เขาคิดว่าถ้าเขามีลูกภาระของเขาก็ต้องเพิ่มขึ้นอีก แล้วอีกหลายปากท้องที่รอเขาอยู่ที่บ้านนอกล่ะจะทำอย่างไร เขาคิดแม้กระทั่งว่าจะให้จันทร์ไปทำแท้งเพื่อแก้ปัญหา แต่ด้วยความที่เขาไม่ใช่คนเลวร้ายขนาดนั้นมันทำให้เขาตัดสินใจที่จะเก็บลูกไว้ เขากล้าที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นและรับผิดชอบต่อสิ่งที่เขาและภรรยาได้ตัดสินใจทำลงไป ถึงเขาจะต้องทำงานหนักขึ้นหลายเท่าตัว เพราะต้องเก็บเงินส่วนหนึ่งไว้เป็นค่าใช้จ่ายให้แก่ลูกน้อยที่กำลังจะเกิดมา และเก็บเงินอีกส่วนหนึ่งส่งให้พ่อแม่ทางบ้านที่ร้อยเอ็ด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ดูแลเอาใจใส่จันทร์เป็นอย่างดี ไม่มีขาดตกบกพร่อง และเมื่อจันทร์ท้องแก่ขึ้น แน่นอนว่าจันทร์ไม่สามารถที่จะกลับไปทำงานหนักๆ ได้เช่นเดิม ดังนั้นภาระงานหนักทุกอย่างจึงตกอยู่ที่สินแต่เพียงผู้เดียว

       “คุณได้ลูกสาวนะคะ” เสียงหวานของนางพยาบาลสาวคนหนึ่งกล่าวกับสินที่นั่งรออยู่หน้าห้องคลอด ด้วยความตื่นเต้นและดีใจที่จะได้เป็นพ่อของชีวิตเล็กๆ ชีวิตหนึ่ง เมื่อสินได้ฟังดังนั้นเขารู้สึกดีใจมาก และไม่รอช้าที่จะเข้าไปชื่นชมความน่ารักน่าชังของลูกสาวตัวน้อย พร้อมทั้งตั้งชื่อลูกน้อยว่า “ดวงใจ” เพราะลูกน้อยคนนี้เปรียบดังแก้วตาดวงใจของสินเลยก็ว่าได้ สินสัญญากับตัวเองว่า จะดูแลลูกของเขาให้ดีที่สุดไม่ให้ลูกของเขาต้องลำบากเหมือนเขาและจันทร์แน่นอน

        สามคนพ่อแม่และลูกใช้ชีวิตทำมาหากินอยู่ในกรุงเทพมหานคร ถึงแม้จะมีอดบ้าง ลำบากบ้าง ไม่สุขสบายเหมือนครอบครัวอื่นๆ แต่ก็ถือว่าครอบครัวของสินและจันทร์มีความสุขมากพอสมควรตามอัตภาพ ทั้งคู่มีลูกสาวที่แสนน่ารัก ขยันช่วยพ่อแม่ทำงานมาตั้งแต่เด็ก เชื่อฟังทุกอย่าง เพียงเท่านี้ก็คือความโชคดีที่สุดของสินและจันทร์แล้ว ระยะเวลาเกือบสิบปีที่ทั้งคู่อยู่ร่วมกันมานั้น สินก็ได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเขารักจันทร์และดวงใจลูกสาวของเขามาก โดยสินทำตัวดีมาตลอด ดูแลทั้งจันทร์และดวงใจอย่างดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ไม่ว่าเขาจะต้องเหนื่อยมากสักเพียงไรก็ตาม

“ดวงใจ แม่เอ็งอยู่ไหน”

        “เย็บผ้าอยู่ในบ้านจ้ะป้า” ดวงใจตอบคำถามป้าเจ้าของห้องพักที่เธอพักอยู่กับพ่อและแม่ ที่ท่าทางรีบร้อนเหมือนมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น

        สักพักผู้หญิงที่เธอเพิ่งสนทนาด้วยเมื่อสักครู่นี้ ก็เดินออกมาพร้อมกับจันทร์แม่ของเธอที่มีอาการตกใจและน้ำตานองหน้า ทั้งคู่เดินผ่านเธอไปอย่างไม่สนใจว่าเธอยืนอยู่ตรงหน้า ในช่วงค่ำของวันเดียวกัน แม่เธอก็กลับมาและเดินตรงมาโอบกอดเธอ พร้อมทั้งร่ำไห้และบอกกับดวงใจว่า นายสินผู้เป็นพ่อของเธอถูกรถชนตายขณะที่กำลังเข็นรถข้ามถนน เพื่อไปส่งของให้เจ้านายของเขา การตายของสินทำให้จันทร์เสียใจมาก และที่สำคัญคือ จันทร์ยังไม่ได้บอกเรื่องที่เธอกำลังตั้งท้องลูกคนที่สองแก่เขาเลย หลังจากจัดการเรื่องงานศพของสินเสร็จ จันทร์ก็พาดวงใจกลับไปอยู่ที่เชียงรายบ้านเกิดของเธอ เพราะถ้าอยู่ในกรุงเทพต่อไปคงไม่สามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่สูงได้

       ตั้งแต่กลับมาอยู่เชียงราย จันทร์มีแต่ความซึมเศร้า เพราะยังทำใจเรื่องสามีตายไม่ได้ เธอไม่สนใจแม้แต่จะดูแลตัวเองและลูกในท้อง เธอลืมคนสำคัญอีกคนหนึ่งที่เธอควรเอาใจใส่ นั่นก็คือเด็กหญิงดวงใจ เงินจำนวนหนึ่งที่เธอและสามีช่วยกันเก็บก็ลดน้อยลงทุกวัน เนื่องจากทั้งเธอและลูกก็ต้องกินต้องใช้แต่ไม่มีคนหาเงินมาเพิ่มเพราะเธอเอาแต่เสียอกเสียใจและตรอมใจ ไม่ทำมาหากินทำให้ภาระทุกอย่างต้องตกอยู่กับดวงใจเด็กน้อยกำพร้าพ่อ เธอหาเงินมาดูแลแม่ผู้ตรอมใจโดยการรับจ้างทำงานเล็กๆ น้อยๆ ในหมู่บ้าน ไม่นานนักแม่ของเธอก็คลอดลูกชายคนเล็ก ค่าใช้จ่ายในการคลอดลูก ก็ได้มาจากความช่วยเหลือของเพื่อนบ้านที่รักและเอ็นดูในความขยันกตัญญูของดวงใจ รวมกับเงินเก็บที่ยังพอมีเหลืออยู่บ้าง

       เวลาผ่านไปเกือบสามปี หลังจากที่สินตายแต่จันทร์ก็ยังทำใจไม่ได้ นับวันมีแต่จะตรอมใจหนักขึ้น วันหนึ่งๆ คิดถึงแต่สามีอันเป็นที่รักของเธอ เหม่อลอย ในใจก็รอคอยให้เขากลับมา จนในที่สุดจันทร์ก็ได้กลายเป็นหญิงบ้าเสียสติ ปล่อยให้ดวงใจต้องดูแลเด็กชายมานะลูกชายคนเล็กในวัย 2 ขวบเพียงลำพัง

        ด้วยความที่ยังเป็นเด็ก แต่ต้องมารับผิดชอบงานหนักหลายอย่าง ทั้งดูแลแม่ที่เสียสติ ดูแลน้องชายวัยสองขวบ และยังต้องรับจ้างหาเงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องทั้งสามชีวิต ถือว่าเป็นภาระที่ใหญ่โตมากสำหรับเด็กหญิงวัย11ปีอย่างดวงใจ เธอไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้เรียนหนังสือในโรงเรียนดัง เช่นเพื่อนๆ รุ่นราวเดียวกันกับเธอเพราะเธอมีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบมากมายเหลือเกิน ทุกครั้งที่เธอพอมีเวลาว่างถึงแม้จะเป็นเวลาเพียงน้อยนิด เธอจะเดินเท้าไปยังโรงเรียนในหมู่บ้านใกล้เคียงพร้อมกับน้องชายของเธอ เพราะทั้งตำบลมีโรงเรียนเล็กๆ อยู่แห่งเดียวเพื่อไปนั่งฟังสิ่งที่คุณครูสอน เพื่อนๆ ในห้องเรียนก็จะแบ่งสมุดและดินสอให้กับเธอ เพื่อให้สามารถจดตามได้ ครูหลายคนที่เห็นในความตั้งใจของดวงใจ ได้หยิบยื่นความช่วยเหลือให้แก่ดวงใจ ทั้งเรื่องอาหารการกิน เสื้อผ้าเก่าๆ ที่พอใช้ได้และที่สำคัญคือช่วยสอนหนังสือให้แก่ดวงใจ ให้พออ่านออกเขียนได้ตามอัตภาพ ทุกครั้งที่ดวงใจได้รับความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะจากใครก็ตามเธอจะต้องทำงานที่เธอพอจะทำได้ตอบแทน เช่น ช่วยทำงานบ้าน ถางหญ้า เก็บขยะ เป็นต้น เพราะเธอคิดว่าทุกสิ่งที่ได้มาต้องได้มาเพราะน้ำพักน้ำแรงของเราเอง ไม่ควรรับของๆ ใครโดยไม่ได้ตอบแทน สิ่งนี้ทำให้คนที่ได้พบเห็นซาบซึ้งในความกตัญญูรู้คุณของเธอ ทุกคนจึงรักและเอ็นดูดวงใจเป็นอย่างยิ่ง

      เงินทุกบาททุกสตางค์ที่เธอได้มา เธอจะเก็บไว้ใช้เป็นค่ายาในยามที่มานะและแม่ไม่สบายและอีกส่วนหนึ่งเธอเก็บเป็นค่าอาหาร เสื้อผ้าต่างๆ ที่มีเธอได้รับมาจากเพื่อนบ้านที่หยิบยื่นแบ่งปันให้ ถึงแม้เสื้อผ้าเหล่านั้นจะไม่ได้สวยหรือใหม่สำหรับคนอื่นๆ แต่สำหรับเธอแล้ว มันคือของใหม่และสวยงามมาก เมื่อเปรียบเทียบกับเสื้อผ้าที่เธอมีอยู่ไม่กี่ตัว

       ถ้ามองดูจากภายนอกแล้ว ดวงใจอาจดูเป็นเด็กหญิงผู้เข้มแข็ง ดิ้นรนสู้ชีวิตทุกอย่าง เธอมีความหวังเสมอว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งเธอจะต้องได้เรียนหนังสือ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นความหวังที่ริบหรี่และเป็นไปได้ยากก็ตาม จนเมื่อมานะอายุได้ 7 ปี และดวงใจเองก็โตเป็นผู้ใหญ่ พอที่จะหาเงินส่งเสียให้น้องได้เรียนหนังสือ โดยเธอได้งานเป็นผู้ช่วยผู้ดูแลเด็กที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของตำบล ในความคิดของเธอการที่เธอได้ให้โอกาสในการเรียนแก่น้องชายคนเดียวของเธอ ก็ถือว่าเธอได้ทำความหวังและความฝันของเธอให้เป็นจริงแล้ว นิสัยของมานะไม่ได้แตกต่างจากดวงใจเลยแม้แต่น้อย มานะรู้จักรับผิดชอบงานต่างๆ เชื่อฟังสิ่งที่ดวงใจบอกกล่าวตักเตือน คนในหมู่บ้านมักจะเห็นสองพี่น้องช่วยกันรับจ้างทำงานต่างๆ จนชินตา ทั้งดวงใจและมานะต้องมีชีวิตที่ลำบากมาโดยตลอดตั้งแต่เด็ก อาจจะทำให้ทั้งสองท้อใจบ้าง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้สองพี่น้องน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาชีวิต จนทำให้หมดหวังในชีวิต การที่ทั้งสองมีแม่ที่เสียสติเหมือนคนบ้า ก็ไม่ได้ทำให้ทั้งคู่รังเกียจหรืออับอาย แต่นั่นกลับเป็นแรงใจให้ทั้งดวงใจและมานะ มีกำลังกายและกำลังใจที่จะต่อสู้กับความยากลำบาก ดวงใจมักจะบอกกับมานะเสมอว่า วันหนึ่งแม่จะต้องหายดีและกลับมาเป็นแม่จันทร์คนดีคนเดิมของเธอให้ได้

      ในวันนี้ดวงใจในวัย 28 ปี และมานะวัย19ปี ในฐานะนักศึกษาทุนเรียนดีระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในจังหวัดเชียงใหม่ ก็ยังคงทำงานหนักต่อสู้ชีวิตด้วยกันเช่นเดิม ทั้งสองพี่น้องต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เป็นกำลังใจให้กันและกันตลอดมา ดวงใจพยายามส่งเสียน้องชายของเขาให้ได้เรียนในชั้นสูงๆ ถึงแม้ดวงใจจะไม่ได้รับการศึกษามาอย่างเต็มที่ก็ตาม มานะมีความมุ่งมั่นและตั้งใจเรียนเป็นอย่างมากเพราะเขาได้เห็นตัวอย่างความอดทน ความขยันของพี่สาวของเขาเองที่ทำให้เขาต่อสู้จนได้รับทุนการศึกษา และได้เรียนต่อในระดับปริญญาตรี ในระหว่างที่เรียนอยู่ มานะจะหางานพิเศษทำ เพื่อช่วยลดภาระของดวงใจให้ได้มากที่สุด มานะจะกลับไปเยี่ยมบ้านที่เชียงรายเสมอเมื่อมีเวลาว่าง เขาจะคอยพูดคุยกับจันทร์ อ่านหนังสือให้จันทร์ฟัง เล่าเรื่องราวของตัวเองในการเป็นนักศึกษาให้จันทร์ฟังโดยที่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า จันทร์จะสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้หรือไม่ แต่สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือ อยากให้แม่จันทร์ของเขาสบายใจและหายจากอาการเสียสติ


ดวงใจของผม

       ถึงชีวิตครอบครัวของมานะจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ ไม่ได้มีชีวิตที่ร่ำรวยเงินทองหรือสุขสบายเหมือนใครหลายๆ คน แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองขาดหรือไม่ได้รับความรักจากพ่อแม่เลย เพราะมานะมีคนๆ หนึ่งที่เป็นทุกอย่าง เป็นทั้งพ่อ แม่ พี่สาว เป็นทั้งเพื่อนของเขาในเวลาเดียวกัน รวมถึงเป็นต้นแบบในการใช้ชีวิตให้แก่เขา สอนให้เขารู้จักอดทน อดกลั้น ขยัน สู้ชีวิต เป็นคนดี รู้จักกตัญญูรู้คุณคน ทำงานหนักเอาเบาสู้ไม่ท้อถอย ทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ซึ่งคนๆ นั้นก็คือ พี่ดวงใจของเขานั่นเอง
 

http://goo.gl/8sxhW


พิมพ์บทความนี้



บทความอื่นๆ ในหมวด

      เพลงวันสงกรานต์
      คำขวัญวันเด็ก 2567 รวมคำขวัญวันเด็กทุกปี
      โอวาทหลวงพ่อธัมมชโย เนื่องในวันเข้าพรรษา
      พระประวัติ "สมเด็จพระสังฆราช” องค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
      โทษภัยของบุหรี่ ทำไมต้องมีกิจกรรมเทเหล้าเผาบุหรี่
      วัดพระธรรมกาย เชิญชวนประชาชน ร่วมสวดธรรมจักร ถวายพระกุศลแด่สมเด็จพระสังฆราช ในเวลา 19.00 น. พร้อมกันทั่วโลก
      โครงการธัมมจักกัปปวัตตนสูตร [ประวัติความเป็นมาของโครงการ]
      วันสงกรานต์ 2566 ประเพณีวันสงกรานต์ ประวัติความเป็นมาวันสงกรานต์
      สำนักงานแม่กองบาลีสนามหลวง ประกาศผลสอบบาลีสนามหลวง ประจำปี 2566
      กิจกรรมเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ระหว่างกรกฎาคม – กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๓
      กิจกรรมส่งเสริมศีลธรรม ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๒ "เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์"
      วัดพระธรรมกาย มูลนิธิธรรมกาย จัดกิจกรรมถวายพระพรชัยมงคล และถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ
      Be Part of History in the Making




   ค้นหา บทความธรรม    

  ฝันในฝันวิทยา
  สารพันธรรมะ
  ปกิณกธรรม
  ผลการปฏิบัติธรรม
  โครงการฟื้นฟูศีลธรรมโลก
  ธรรมะบันเทิง
  ข่าว
  ข่าวประชาสัมพันธ์
  ข่าวบุญฝากประกาศ
  DMC NEWS
  ข่าวรอบโลก
  กิจกรรมเว็บ dmc.tv
  Scoop - Review DMC
  เรื่องเด่นทันเหตุการณ์
  Review รายการ DMC
  หนังสือธรรมะ
  ธรรมะเพื่อประชาชน
  ที่นี่มีคำตอบ
  หลวงพ่อตอบปัญหา
  อยู่ในบุญ
  สุขภาพนักสร้างบารมี
  นิทานชาดก
  CaseStudy กฎแห่งกรรม
  กฎแห่งกรรม
  เรื่องราวชีวิต
  เหลือเชื่อแต่จริง
  อุทาหรณ์สอนใจ
  ฮอตฮิต...ติดดาว
  วิบากกรรม...ทำให้ทุกข์
  บุญเกื้อหนุน
  ปรโลกนิวส์
  ธรรมะและสมาธิ
  พุทธประวัติ
  สมาธิ
  ผลการปฏิบัติธรรมนานาชาติ
  ทศชาติชาดก
  พุทธประวัติและวันสำคัญ
  บทสวดมนต์
  ศัพท์ธรรมะ ภาษาอังกฤษ
  มหาปูชนียาจารย์
  อานุภาพมหาปูชนียาจารย์
  ประวัติ
  กิจกรรม
  ธุดงค์สถาปนาเส้นทางมหาปูชนียาจารย์
  About DMC
  เกี่ยวกับ DMC
  DMC GUIDE
  มือถือ Mobile
  คู่มือเว็บ www.dmc.tv
  มาวัดพระธรรมกาย
   ค้นหา บทความธรรม    

ธรรมะที่เกี่ยวข้อง - Related