ข้อความต้นฉบับในหน้า
"ถ้าความเสื่อมในร่างกายเกิดขึ้นมาก อาการทั้ง ๖ ความหนาว ความร้อน ความหิว ความกระหาย ความปวดอุจจาระ ความปวดปัสสาวะ ที่เกิดในร่างกายมนุษย์ก็แสดงออกมาแต่ถ้าความเสื่อมในร่างกายเกิดช้าลง อาการที่แสดงออกมาดังก็ดี"
ธรรมชาติกของสรีระร่างกายประกอบที่ ๑ และ ๖ คือ ความปวดอุจจาระ ความปวดปัสสาวะ สิ่งเหล่านี้บอกให้รู้ว่า ฯลฯ ที่เต็มเข้าไปนั้นก็เป็นธาตุไม่บริสุทธิ์และร่างกายนำไปไม่ได้ ทั้งหมด จึงมีการออกมาในรูปของอุจจาระและปัสสาวะ เมื่อเป็นเช่นนี้ร่างกายจึงสีกหรอไปตามเวลา และมนุษย์จำเป็นต้องเต็มถฏ ๔ ให้ร่างกายตลอดชีวิต
ถ้าความเสื่อมในร่างกายเกิดขึ้นมาก อาการทั้ง ๖ คือ ความหนาว ความร้อน ความหิว ความกระหาย ความปวดอุจจาระ ความปวดปัสสาวะ ที่เกิดในร่างกายมนุษย์ก็แสดงออกมาก แต่ถ้าความเสื่อมในร่างกายเกิดช้าลง อาการที่แสดงออกมาดังก็น้อยลง
พระพุทธองค์แสดงธรรมชาติของสรีระในประกาศที่ ๗ และ ๘ ว่า คือ ความสำรวมกาย ความสำรวมวาจา ถ้าใครมีความสำรวมกาย สำรวมวาจา ร่างกายก็สีกหรือน้อย อายุ ก็เย็น ถ้าใครไม่สำรวมกาย ไม่สำรวมวาจา ความสีกหรอเกิดมาก อายุ ก็สั้น
และที่สำคัญประกาศที่ ๙ คือ ความสำรวมอาชีพ ทำการงานเพื่อเลี้ยงชีวิต เลือกอาชีพที่ไม่เบียดบัง เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ทำงานที่เป็นกรรมดี นอกจากจะได้เงินทองมาแล้ว ร่างกายก็จะดี จิตใจผ่องใส นิสัยดี บุญก็เกิด สร้างแต่ตัวไม่คดุร้าย นี้คือผลของความสำรวมอาชีพ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าไม่สำรวมอาชีพ ความทุกข์ ความเดือดร้อนทั้งหลายก็จะเกิดตามมา เมื่อประกอบอาชีพทรัพย์มาได้แล้ว ยังต้องรู้จักประมาณในการเก็บรักษาและการใช้ทรัพย์นั้นด้วย เพื่อจะได้ไม่ผลดไปทำบาปกรรมใด ๆ เพราะยังมีธรรมชาติดีของสรีระประกอบที่ ๑ คือ ธรรมเป็นเครื่องปรุงแต่งกาย เป็นเทวให้เกิดในพงใหม่ ถ้ไม่ระวัง ทำกรรมชั่ว ทำบาป ก็มีนรก มีคูณภูมิครอบอยู่ เดือดร้อนตั้งแต่บัดนี้จนถึงชาติก่อน ๆ ไป แต่ถ้าระมัดระวัง มั่นทำกรรมดี มีบุญมาก สุดแต่โลกสวรรค์ครองอยู่ ชาตินี้ก็อยู่เป็นสุข ชาติถัด ๆ ไปก็เป็นสุข กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็สบาย เพราะบุญที่ประกอบไว้ในชาติปัจจุบันแล้วจึงจะมาถึง
แล้ววงจรนี้เมื่อไรรจึงจะหมด จึงจะจบสิ้น ก็ต้องถามว่าทำไมมณฑภายในตัวของเราจึงไม่มีสุทธิ์ เหตุนี้เพราะกายถูกคุมด้วยใจ ในนี้ก็ถูกกีดกันเป็นอธิบายรุปแบบอยู่ ทำให้ไม่บริสุทธิ์ จึงส่งผลให้ชาตุ ฯ ในกายไม่บริสุทธิ์ ถ้าจะแก้ไขไม่มีทางเดียว คือ ต้อง"