เรื่องราวของพระราชกุมารและความตั้งใจในการหนีการเสวยราชสมบัติ วารสารอยู่ในบุญ ประจำเดือน เมษายน พ.ศ.2549 หน้า 25
หน้าที่ 25 / 80

สรุปเนื้อหา

พระราชกุมารมีความกลัวที่จะเสวยราชสมบัติและทำให้ผู้คนลำบาก เมื่อเทพธิดาที่เป็นอดีตพระมารดาได้ปลอบให้ทรงแสร้งทำเป็นคนง่อยเปลี้ย เพื่อให้หลีกหนีจากการเสวยราชสมบัติ พระองค์ได้อดทนต่อความยากลำบาก 16 ปี เพื่อไม่ให้ผู้คนและพระราชาสงสัย จนกระทั่งถึงวันประหาร พระราชากลับหลงเชื่อว่าเป็นคนกาลกิณีและกำหนดให้ต้องฝังพระกุมารในป่าช้า แต่พระกุมารได้ออกจากราชรถเพื่อพิสูจน์ความสามารถที่ยังมีอยู่ เหตุการณ์ทั้งหมดเป็นบททดสอบแห่งความมุ่งมั่นของพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรักที่มีต่อพระมารดาและประชาชน.

หัวข้อประเด็น

-การเสวยราชสมบัติ
-ความกลัวและการตัดสินใจ
-การแสร้งทำเพื่อหลีกเลี่ยง
-ความรักของมารดาและบุตร
-การทดสอบและความมุ่งมั่น

ข้อความต้นฉบับในหน้า

จึงทรงดำริว่า หากเราได้เสวยราชสมบัติสืบต่อ จากพระราชบิดา ก็คงไม่พ้นต้องทำบาปกรรมสั่ง ประหารชีวิตผู้คนมากมายเช่นเดิม และจะต้องไป เสวยทุกข์ใหญ่ในนรกอีกเป็นแน่แท้ ในขณะนั้น เทพธิดาผู้สถิตอยู่ที่พระเศวตฉัตร ที่กำลังเหลียวมองพระองค์ด้วยความรัก ซึ่งในครั้ง อดีตชาติ นางได้เคยเกิดเป็นพระมารดาของพระ ราชกุมาร ครั้นได้ทราบความดำริของพระราชกุมาร จึงแสดงตนให้พระองค์เห็น แล้วปลอบโยนให้ทรง คลายความโศกว่า “พ่อเตมิยะ อย่าคิดกลัวไปเลย หากพ่อต้องการจะพ้นไปจากพระราชมณเฑียร พ่อก็จงแสร้งทำตนเป็นคนง่อยเปลี้ย แสร้งหูหนวก แสร้งทำเป็นคนใบ้....พ่ออย่าได้แสดงตนว่าเป็นบัณฑิต จงปล่อยให้คนเข้าใจว่าพ่อเป็นคนเขลาเถิด แล้ว เขาก็จะเหยียดหยามว่าพ่อเป็นคนกาลกิณี ขับไล่ พ่อออกไป หากพ่อสามารถกระทำตามอุบายนี้ได้ ความปรารถนาของพ่อก็จะสำเร็จแน่นอน” พระมูคผักขกุมาร ผู้มั่นในปณิธาน พระเตมิยกุมารได้สดับดังนั้นก็ตั้งจิตอธิษฐาน ว่า “ต่อจากนี้ไป เราจะแสดงตนเป็นคนง่อยเปลี้ย เป็นคนหูหนวก และเป็นคนใบ้ จนกว่าความ ปรารถนาของเราจะสำเร็จ” นับจากนั้นมา พระ ราชกุมารก็มิได้ตรัสอะไรอีก ไม่ทรงขยับพระหัตถ์ และพระบาท ไม่เคยแสดงอาการผิดสังเกตให้ใคร ได้เห็นเลย ลำพังเพียงแสร้งทำเป็นคนง่อยเปลี้ย เป็นคนใบ้ ก็ได้รับความลำบากเป็นทุนอยู่แล้ว พระองค์ยังถูกทดสอบด้วยวิธีการที่ยากเหลือเกินที่ 20 คนทั่วไปจะทนทานได้ เช่น ไม่ยอมให้ดื่มนมเป็น เวลาหลายวัน แสร้งปล่อยช้างเข้าเหยียบ เอาไป นอนจมกองมูตรคูถเป็นปี ๆ หรือแสร้งให้ไฟไหม้ เผาทั้งเป็น พระกุมารก็ไม่สะทกสะท้าน ยึดมั่นใน ปณิธานโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน จึงสามารถฝ่าฟัน อุปสรรคเหล่านั้นมาได้ จนกระทั่งมีพระชนมายุได้ ๑๖ ชันษา พระราชาเข้าพระทัยว่า พระกุมารเป็นคน พิกลพิการจริงๆ ก็ทรงโทมนัสเป็นอย่างยิ่ง เมื่อ พราหมณ์กราบทูลว่า “พระกุมารเป็นตัวกาลกิณี จะนำภัยมาสู่พระองค์และพระมเหสี และจะเป็น อันตรายต่อเศวตฉัตรของพระองค์ ควรให้นำพระ กุมารไปฝังในป่าช้าผีดิบเสีย” พระราชาหลงเชื่อ จึงมีรับสั่งให้ทำตามนั้น ฝ่ายพระเทวีได้สดับ กระแสรับสั่งแล้ว ทรงเศร้าโศกมาก ประหนึ่งว่า พระทัยจะแตกสลาย ได้แต่รำพันเพราะจะต้อง พลัดพรากจากพระโอรส พอรุ่งเช้า สารถีนำเตมีย กุมารประทับนั่งบนราชรถ พระกุมารทอดพระเนตร เห็นพระชนนีร่ำไห้สลบไสลไป ก็ทรงข่มความรู้สึก เอาไว้ ดำริว่า ถ้าเราพูดออกไปตอนนี้ ความ พยายามที่ได้ทำมาตลอด ๑๖ ปี ก็จะไร้ผล แต่ถ้า เราไม่พูด ประโยชน์ก็จะสำเร็จแก่เรา แก่พระชนก ชนนีและมหาชนทั้งหลาย จึงทรงข่มความโศกเอาไว้ สารถีได้พาพระกุมารออกจากเมือง เพื่อนำ ไปฝังในป่าทึบแห่งหนึ่ง เมื่อถึงที่หมายแล้ว ได้ หยุดราชรถ แล้วคว้าจอบเดินไปขุดหลุม เตมีย กุมารทรงทดลองขยับพระหัตถ์และพระบาท ก็รู้ว่า ยังมีพระกำลังแข็งแรงอยู่ จึงทรงก้าวลงจากราชรถ อยู่ ๖ ๒๓ 10
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หน้าหนังสือทั้งหมด

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More