ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประการที่ ๒ แม้แต่คนที่เคยหยิบยื่นให้ความ
ช่วยเหลือ เขาก็ยังมองไม่เห็นความดีนั้น เมื่อเป็น
อย่างนี้ โลกทั้งโลกจึงได้กลายเป็นโลกมืดสำหรับ
เขาเสียแล้ว ทำให้คนประเภทนี้ไม่มีความสุข
ตลอดชีวิต
นี่คือสภาพจิตใจของคนเราที่แตกต่างกัน
ระหว่างคนมีความกตัญญูกตเวที กับคนไม่มีความ
กตัญญูกตเวที
ระดับของความกตัญญู
สำหรับคนที่มีความกตัญญูนั้น ยังสามารถ
แบ่งระดับของความกตัญญู ออกเป็น ๔ ระดับ คือ
มีความกตัญญูขั้นอนุบาล ได้แก่ ผู้ที่รู้ว่า
เขามีพระคุณกับเรา แต่ว่ายังไม่คิดที่จะตอบแทนคุณ
คือมีจิตใจที่ดีงามเพียงแค่รู้คุณเท่านั้น
๑.
๒. มีความกตัญญูขันประถม ได้แก่ ผู้ที่รู้ว่า
เขามีพระคุณต่อเรา เพราะฉะนั้นมีโอกาสเมื่อไร
จะต้องตอบแทนคุณเขาบ้าง แค่คิดตอบแทนเท่านั้น
ระดับธรรมะในจิตใจของเขาก็จะยกขึ้นสู่อีกระดับ
หนึ่งแล้ว
๓.
มีความกตัญญูขั้นมัธยม ได้แก่ ผู้ที่รู้ว่า
เขามีพระคุณต่อเรา คิดจะตอบแทนคุณ แล้วก็
ลงมือประกาศคุณให้โลกได้รู้ว่า ท่านผู้นั้น ท่านผู้นี้
เคยมีพระคุณกับเรา อย่างนั้น อย่างนี้ จิตใจหรือ
ธรรมะประจำใจของคนๆ นี้ก็ยกระดับยิ่งขึ้นไปอีก
๔. มีความกตัญญูขั้นอุดมศึกษา ได้แก่ ผู้ที่
นอกจากจะรู้คุณ คิดจะตอบแทนคุณ และ
ประกาศคุณแล้ว ถ้าจะให้ดีเยี่ยม ต้องลงมือตอบแทน
พระคุณท่านให้สมกับที่ท่านเคยมีพระคุณต่อเราด้วย
เพราะฉะนั้น คนที่มีจิตใจระดับนี้ฟ้องว่า
ในใจของเขาไม่เคยคิดเรื่องร้ายเลย ในใจของเขา
คิดแต่เรืองดี
เวลามองโลกก็มองในแง่ดี มองโลกนี้อย่าง
สวยงาม ตรงไปตามความเป็นจริง เวลามองคนก็
มองในแง่ดี ว่าโลกนี้ยังมีคนดีอยู่ แล้วตัวเราเองก็
หลวงพ่อตอบปัญหา
พระภาวนาวิริยคุณ
จะต้องเป็นคนดีอีกคนหนึ่งของโลกนี้ให้ได้
พอมีความคิดอย่างนี้เกิดขึ้นแล้ว การทุ่มเท
การเค้นศักยภาพในตัวเอง เพื่อไปทำความดี ก็จะ
เกิดตามมา เมื่อคนเราพยายามเค้นศักยภาพใน
ตัวเอง ไปทุ่มเทในการทำความดีแล้ว ก็จะทำให้
ไม่มีเวลาที่จะไปฟุ้งซ่าน ไม่มีเวลาที่จะไปอิจฉา
ตาร้อนใคร มีแต่เวลาสำหรับการคิดดี พูดดี ทำดี
แล้วสิ่งที่จะได้ตามมาก็คือ เขาจะได้ดี หรือว่าได้
ความเจริญรุ่งเรือง
เพราะฉะนั้น ที่ปู่ย่าตายายของเราท่าน
พูดไว้ว่า คนมีความกตัญญูกตเวที จะมีแต่ความ
เจริญรุ่งเรืองนั้น ถูกต้องแล้ว
เมื่อเรามีปู่ย่าตาทวดดีๆ ฉลาดๆ อย่างนี้
จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องเชื่อฟังและทำตามท่าน
อย่างชนิดสุดชีวิตจิตใจ แล้วบ้านเมืองไทยของเรา
ก็จะเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไป