ความเปราะบางของผู้หญิงในการดูแลครอบครัว พระคุณแม่ เล่ม 3 หน้า 4
หน้าที่ 4 / 24

สรุปเนื้อหา

บทความนี้พูดถึงความเปราะบางของผู้หญิงที่ได้ให้กำเนิดลูกและข้อจำกัดในการดูแลผู้สูงอายุ โดยมีหลักการว่าผู้ที่ดูแลจะต้องเข้าใจและเห็นใจผู้สูงอายุ เช่น การสังเกตสิ่งที่พ่อแม่ชอบเพื่อไม่ให้เกิดความน้อยใจ คนที่คอยดูแลต้องมีความละเอียดอ่อนและใส่ใจในความรู้สึกของผู้สูงอายุ โดยเฉพาะเมื่อู้อายุเริ่มป่วย ความเข้าใจและการดูแลจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม.

หัวข้อประเด็น

-ความเปราะบางของผู้หญิง
-การดูแลผู้สูงอายุ
-ความน้อยใจในผู้สูงอายุ
-การสังเกตความต้องการของพ่อแม่

ข้อความต้นฉบับในหน้า

สภาพความเป็นผู้หญิงของท่าน การให้กำเนิดลูกแต่ละคนของท่าน ทำ ความบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจมาตลอดครึ่งค่อนชีวิต เพราะฉะนั้นท่าน จึงมีความเปราะบางมากเป็นธรรมดา คนที่จะเลี้ยงแม่ได้นั้น นอกจากจะ ต้องมีฐานะพอสมควรแล้ว สิ่งที่จะต้องมีตามมาอีกก็คือ ต้องรู้ใจท่าน ถ้า ไม่รู้ใจท่าน เลี้ยงแม่ดูแลแม่ไม่ได้ อยากจะให้พวกเราถามตัวเองเสียเดี๋ยวนี้เลยว่า เคยสังเกตบ้างหรือ เปล่าว่า เสื้อผ้าชุดอย่างไหน แบบอย่างไหน สีอะไร เสื้อผ้าเป็นอย่างไร ที่แม่ชอบ เคยสังเกตไหม ถ้าไม่เคยก็ใช้ไม่ได้ อย่างนี้เลี้ยงแม่ไม่ได้หรอก เลี้ยงดูผู้เฒ่าอย่าทำให้ท่านน้อยใจ พ่อแม่ยามแก่ชรา โดยทั่วไปก็มีลูกเหลืออยู่ในบ้านเพียงคนสองคน นอกนั้นก็แยกย้ายกันไปทํามาหากิน ไปตั้งครอบครัวใหม่กันหมด บาง ครอบครัวเหลือเพียงสองคนตายาย ลูกหลานแยกไปตั้งรกรากอยู่เสียไกล คนละภาค คนละประเทศ ความว้าเหว่ ความน้อยใจจึงเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ แล้ว อำนาจแห่งความน้อยใจของผู้เฒ่านี่เอา เรื่องทีเดียว ใครดูแลพอดูแลแม่ อยากจะ ใครดูแลพ่อดูแลแม่ เอาบุญกับท่านละก็ อย่าทำให้ท่านน้อยใจ ได้ถ้าน้อยใจเดี๋ยวพาลจะตายเอาง่ายๆ อยากจะเอาบุญกับ อาตมามีประสบการณ์เมื่ เมื่อโยมพ่อ ท่านละก็ อย่าทำให้ ท่านน้อยใจได้ ยังมีชีวิตอยู่ มีอยู่คราวหนึ่งโยมพ่อป่วย ได้ทราบข่าวว่าเป็นแค่นิด ๆ หน่อย งาน ยุ่ง ๆ ก็เลยไม่ได้ไปเยี่ยม แต่พออีก ๖-๗ พระคุณแม่ 44 วัน ทางบ้านโทรเลขมาแล้ว บอกว่าบ่วยหนัก นึกแปลกใจ เอ๊ะ! ก็เป็น ไข้ธรรมดา ทําไมเกิดมาป่วยหนัก ก็เลยรีบไป ปรากฏว่าตั้งแต่ท่านป่วย ข้าวไม่ยอมกิน น้ำไม่ยอมดื่ม ยิ่งยาด้วย แล้วไม่ต้องพูดถึง ไม่ยอมแตะเลย เมื่ออาตมาไปถึงบ้าน ท่านมีอาการ เพียบแล้ว ก็เลยบอกท่านไปโรงพยาบาลเถอะ ท่านบอก ไม่ไป จะตายที่บ้าน นี่แหละ อ้าว! แล้วกัน ทำไมจะมารีบตายเสียเล่า ท่านบอกทานจะตาย คะยั้นคะยออย่างไรก็ไม่ยอมไป คะยั้นคะยอท่านมากๆ เข้า ท่านว่าอย่างไร รู้ไหม...ท่านว่า “อ๋อ กลัวจะตายรถบ้านใช่ไหม ถึงจะไล่ให้ไปตายโรงพยาบาล นะ” เอาเป็นอย่างนั้นเสียอีก ตอนนั้นก็บวชพระแล้ว ท่านเป็นโยมพ่อเรา เอง ก็เลยไม่ฟังเสียง มาถึงขั้นนี้แล้ว ช้อนตัวท่านอุ้มขึ้นรถเลย ไปส่ง พูดไม่เพราะไป โรงพยาบาล ไม่ฟังเสียงท่านทั้งนั้น ไปถึงโรงพยาบาล ให้หมอเขาตรวจ เขาเช็คเรียบร้อย แล้วก็บอกว่า ท่านน้อยใจเอาขนาด ต้องอยู่โรงพยาบาลก่อน ไม่ยอมให้ ไม่กินข้าวกินปลา หยูกยาไม่กิน คิดจะตายท่าเดียว กลับ แต่ท่านจะกลับให้ได้ ผลสุดท้ายอาตมาก็เลยต้อง ไปจำวัดอยู่ที่โรงพยาบาลด้วย ไม่ อย่างนั้นท่านไม่ยอมอยู่ให้ใครไปอยู่ ด้วยก็ไม่เอาทั้งนั้น พี่คนไหน ญาติ คนไหน ท่านไม่เอาด้วยทั้งนั่นแหละ ต้องให้พระลูกชายอยู่ด้วยถึงยอมอยู่ ซักไซ้ไล่เรียงกันก็ได้ความว่า เมื่อ ตอนท่านเริ่มป่วย พี่สาวพูดกับท่านไม่เพราะ พูดไม่เพราะไป ๒-๓ ค่ำ ก็ คง จะงานมากเหนื่อยๆ ก็เลยพูดไม่เพราะไป ท่านน้อยใจเอาขนาดไม่กิน ข้าวกินปลา หยูกยาไม่กิน คิดจะตายท่าเดียว 45 พระคุณแม่
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หน้าหนังสือทั้งหมด

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More