ข้อความต้นฉบับในหน้า
ทำสมาธิได้ไหม” “โยมแม่ ม่ พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงห้าม
ไว้ โยมก็ทำสมาธิได้จ้ะ”
อุบาสิกาจึงได้ขอเรียนการทำสมาธิจากภิกษุ
สงฆ์ นางตั้งใจปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง จนได้บรรลุ
ธรรมเป็นพระอนาคามี และยังสามารถรู้วาระจิต
คนอื่นได้ด้วย วันหนึ่งนางได้ตรวจดูการปฏิบัติของ
เหล่าภิกษุจึงได้รู้ว่า “พระคุณเจ้ายังมิได้บรรลุธรรม
อะไรเลย แต่ก็ยังมีอุปนิสัยที่จะเป็นพระอรหันต์ได้”
นางจึงตรวจดูต่อไปว่า “ไม่ว่าจะเป็นเสนาสนะและ
บุคคลก็ล้วนเป็นที่สบาย ยังเหลือแต่อาหารเท่านั้น
ที่จะต้องทำให้เป็นที่สบาย” นางจึงนำอาหารถูกปาก
มาถวายพระ เหล่าภิกษุได้อาหารเป็นที่สบายจึง
ปฏิบัติธรรมได้ดีขึ้นอย่างรวดเร็วไม่นานก็ได้บรรลุเป็น
พระอรหันต์กันหมด จึงพากันสรรเสริญอุปการคุณ
ของอุบาสิกาว่า "ถ้าพวกเราไม่ได้อาหารที่ถูกปาก
จากโยมแล้ว การบรรลุธรรมคงเลื่อนออกไปอีกนาน
เป็นแน่”
เมื่อออกพรรษาภิกษุสงฆ์ทั้งหมดก็ลาอุบาสิกา
เพื่อไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา และทูลเล่าเรื่องการ
รู้วาระจิตของอุบาสิกาให้ทรงทราบ ภิกษุรูปหนึ่ง
ได้ยินเรื่องราวของนางก็ยังไม่เชื่อ จึงปรารถนาจะไป
พิสูจน์ด้วยตนเอง ท่านได้ทูลลาพระบรมศาสดาเพื่อ
ไปบำเพ็ญสมณธรรมที่หมู่บ้านแห่งนั้น พอไปถึงก็
เกิดความคิดขึ้นมาว่า “ใคร ๆ ต่างก็ร่ำลือกันนักว่า
อุบาสิกามาติกมารดาสามารถรู้วาระจิตได้ ตอนนี้เรา
ยังเหนื่อยกับการเดินทาง ไม่มีแรงทำความสะอาด
ที่พักเลย ขออุบาสิกาจงส่งคนมาทำความสะอาดด้วย
เถิด” อุบาสิกาก็ส่งคนมาทำความสะอาดในทันใด
หรือเมื่อท่านต้องการจะฉันภัตตาหาร เพียงแค่นึก
ก็จะมีคนนำมาถวายสมประสงค์ทุกคราวไป
ต่อมา ภิกษุรูปนี้ต้องการที่จะพบตัวจริงของ
อุบาสิกา นางก็เดินทางมาให้พบตามประสงค์พร้อม
กับนำภัตตาหารรสเลิศมาถวายอีกเช่นเคย พอพระ
ฉันเรียบร้อยแล้วจึงถามขึ้นว่า “โยมรู้วาระจิตคนอื่น