ข้อความต้นฉบับในหน้า
..กิเลสที่เกิดในใจมนุษย์นั้น มีอยู่แล้วในใจเราตั้งแต่เกิดมา กิเลสที่เป็น
เชื้อฝังใจอยู่นี้ หาทางจะกำเริบอยู่เรื่อย บีบคั้นใจเราตลอด ถ้ามันยังทำ
อะไรใจเราไม่ได้ ก็มีเหยื่อมาล่อ สำนวนทางศาสนาบอกว่ามารเอาเหยื่อ
มาล่อ..
ๆ
อย่างเช่นชาวประมงเอาเหยื่อ คือ ปลาตัวเล็ก มาเกี่ยวเบ็ด แล้วปล่อยไปล่อปลาตัวใหญ่
เดี๋ยวปลาตัวใหญ่ก็ฮุบเหยื่อ เขาก็ได้ปลาตัวใหญ่เอาไปแกงกิน โดยทั่วไปเรารู้จักแต่เหยื่อล่อปลา
แต่เรามักไม่รู้จักเหยื่อที่มาล่อใจมนุษย์
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นเหยื่อที่มาล่อใจมนุษย์ไว้ชัดเจน
เหยื่อล่อทางตา ก็คือ รูปสวย ๆ เอามาล่อตา ตาก็ชอบ พอล่อตาก็ไปกระทบใจขวับ
ใจก็พุ่งขึ้นมา ติดเหยื่อเสียแล้ว นอนไม่หลับ
อีกแล้ว
เอาเสียงจ๋อย ๆ ๆ มาล่อทางหู เสียงนั้นก็เป็นเหยื่อทางหู ติดใจเสียงขวับเข้าให้ นอนไม่หลับ
เอากลิ่นหอม ๆ มากระทบจมูก ใจฟังอีกแล้ว
เอาอาหารถูกปากมาล่อ พออาหารกระทบลิ้นเข้าเท่านั้น ใจฟังอีกแล้ว
เอาของนุ่ม ๆ นิ่ม ๆ มาเป็นเหยื่อล่อ พอกระทบกายเข้า ติดใจ นอนไม่หลับ ต้องตามไป
ถึงเจ้าตัวอีกแล้ว
มารเอาเหยื่อมาล่อ ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ล่อแล้วทำให้ใจฟุ้งซ่าน วัตถุประสงค์ในการ
รักษาศีลพรต คือ ต้องการที่จะกำจัดกิเลสให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ ให้สิ้นซากไป เมื่อจะให้มันสิ้น
ซากไป ก็ต้องกำจัดเหยื่อที่มาล่อนั้นออกไป
ศีลข้อที่ 5 ตัดอาหารไปมื้อหนึ่ง เท่ากับตัดเหยื่อล่อลิ้น ไม่ให้เขียนคิ้ว ไม่ให้ทาปาก ไม่ให้
ประพรมน้ำหอม ไม่ให้ร้องเพลง ไม่ให้ดูการละเล่น เท่ากับตัดเหยื่อล่อทางตา เหยื่อล่อทางหู
เหยื่อล่อทางจมูก ไม่ให้นอนที่นอนหนา ๆ นิ่ม ๆ นุ่ม ๆ คือ ตัดเหยื่อล่อทางกาย ถ้าใครไปติด
เหยื่อพวกนี้แล้ว ใจจะฟัง ฟังแล้วตะเกียกตะกายนอนไม่หลับ เหยื่อมันมาล่ออย่างนี้
ล
เพราะฉะนั้น ให้ตั้งใจรักษาศีล ๘ ให้ดี รักษาศีลข้อที่ ๓ ได้ดีแล้ว ข้อที่ 5 ที่ ๒ ที่ 6 ไม่ต้อง
รักษาได้ไหม ไม่ได้ เพราะถ้าไม่รักษาข้อที่ 5 ข้อที่ ๓ ข้อที่ ๔ ให้ดี เดี๋ยวติดเหยื่อ แล้วข้อที่ ๓
เลยรักษาไม่ได้ ดิ้นพราด ๆ ตามเหยื่อไป ใครพลาดท่าเหยื่อทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เมื่อไรละก็
เหลืออีกกี่ข้อรักษาไม่อยู่หรอก โยนศีลทั้งหมด อย่าว่าแต่รักษาศีล ๘ ไม่อยู่เลย แม้ศีล ๕ ก็ทำท่า
จะรักษาไม่อยู่เอาเสียด้วย