ข้อความต้นฉบับในหน้า
อนุรักษ์ธรรมชาติเกิดขึ้นด้วยซ้ำไป
ดังเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในภูตคามวรรค
สิกขาบทที่ ๑ ว่า
เมื่อครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่
ณ อัคคาฬวเจดีย์ เขตรัฐอาฬวี พวกภิกษุชาวรัฐอาฬวี
ได้ลงมือตัดต้นไม้ และสั่งให้คนอื่นช่วยตัดด้วย
เพื่อเอาไปทำเสนาสนะ
เมื่อประชาชนทราบข่าว ก็พากันติเตียนว่า
ทำไมพระภิกษุชาวรัฐอาฬวีจึงตัดต้นไม้ และยังให้
คนอื่นช่วยตัดอีกด้วย ซึ่งถือว่า เป็นการเบียดเบียน
ต่อสรรพชีวิต คือ เบียดเบียนทั้งต้นไม้และเทวดา
ที่สถิตอยู่ ณ ต้นไม้นั้น ภิกษุทั้งหลายได้ยินข่าวจึง
ไปกราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกพระภิกษุ
ชาวรัฐอาฬวีมาตรัสถามว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ได้ข่าวว่า พวกเธอตัดต้นไม้เองบ้าง ให้คนอื่นตัดบ้าง
จริงหรือ”
ข้า”
ภิกษุชาวรัฐอาฬวีทูลรับว่า “จริง พระพุทธเจ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงติเตียน จากนั้น
ทรงบัญญัติสิกขาบท (พระวินัย) ห้ามพระภิกษุ
ตัดต้นไม้ที่ชื่อว่า ภูตคาม ได้แก่พืช ๕ ชนิด คือ
พืชเกิดจากเหง้า พืชเกิดจากต้น พืชเกิดจากข้อ
พืชเกิดจากยอด และพืชเกิดจากเมล็ด
ถ้าพระภิกษุรูปใดตัดต้นไม้ที่จัดอยู่ในพืช ๕
ชนิดนี้ ถือว่า พระภิกษุรูปนั้นต้องอาบัติปาจิตตีย์...
นอกจากนี้ยังมีพุทธพจน์ที่แสดงให้เห็นว่า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงไม่สนับสนุนให้ภิกษุตัด
ต้นไม้ อยู่ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า
“จงตัดป่า คือ กิเลส แต่อย่าตัดต้นไม้ (จริง)
เพราะภัยเกิดจากป่า ครั้นตัดป่าและหมู่ไม้แล้ว
ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่มีป่ารก คือ กิเลสเถิด”
ความปรารถนาที่จะนำความรักไปสู่มวล
มนุษยชาติ ที่ผู้จัดงานพืชสวนโลกวาง Theme ไว้
นั้นเป็นสิ่งที่ดี เพราะถ้ามนุษย์เรามีความรักความ
เมตตา ปรารถนาดีต่อกันอย่างจริงใจ ปราศจาก
ความคิดเบียดเบียนกันและกันแล้ว เราก็จะมีชีวิต
อยู่ร่วมกันได้อย่างร่มเย็น เป็นสุข
แต่.. ตราบใดที่เรายังไม่ได้ตัดป่า คือ กิเลส
แล้ว การเบียดเบียนกันและกันก็จะยังคงดำรงอยู่
เป็นวัฏจักรอันชั่วร้ายต่อไป ดังนั้น เราจงมาหาทาง
ตัดป่า คือ อาสวกิเลสให้หมดไปด้วยการทำทาน
รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา ตามคำสอนของ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงมีความรัก ความเมตตา
ต่อสรรพชีวิตอย่างแท้จริง
เมื่อเราตัดป่า คือ กิเลสแล้ว...โลกนี้ก็จะ
สงบสุข เต็มไปด้วยความรัก เหมาะแก่การดำรงอยู่
ของมนุษย์ เทวา และหมู่สัตว์ หรือแม้กระทั่ง
ต้นไม้ก็ตาม