ข้อความต้นฉบับในหน้า
วิสาขบูชา
วันประกาศชัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
"รอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่ละพระองค์ เปรียบเสมือนดวง
สุริยาที่ทอแสงให้ความสว่างในชีวิตแก่สรรพ
สัตว์ทั้งปวงโดยไม่เลือกที่รักผลักที่ชัง
พระพุทธองค์เสด็จมาเพื่อประโยชน์สุขของ
มวลมนุษยชาติและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ฟัง
พุทธพจน์ที่กล่าวไว้ว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
บุคคลเอกเมื่ออุบัติขึ้นในโลก ย่อมอุบัติเพื่อ
เกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขของ
มหาชน เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อความสุข
แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย บุคคลเอก คือ
พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า การที่เรา
หมั่นตรีกระลึกนึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของ
พระพุทธองค์ จึงถือเป็นการเจริญพุทธานุสติ
มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ การทำเช่นนี้มี
อานิสงส์ใหญ่ จะส่งผลให้เราได้เข้าถึงพระ
รัตนตรัยภายในได้โดยง่ายโดยเร็วพลัน โดย
เฉพาะในเดือนนี้เป็นเดือนวิสาขมาส เป็น
เดือนแห่งชัยชนะที่ไม่มีวันกลับแพ้ของ
เป็นทุกข์วนเวียนอยู่ในวัฏจักรของกิเลส กรรม
พระบรมศาสดาของพวกเราทั้งหลาย เป็น วิบาก ยากที่จะหลุดพ้นจากภพทั้ง ๓ ได้
เหตุให้หมู่สัตว์หลุดพ้นจากบ่วงแห่งมาร พ้น
จากความมืด ห ย อวิชชา พบแสงสว่าง
แห่งพระสัทธรรม เป็นการปลดแอกที่ไม่ถูก
ควบคุมด้วยกิเลสอาสวะอีกต่อไป การที่
พระพุทธองค์ทรงให้รับชัยชนะเหนือพญามาร
ด้วยบุญบารมีที่สังคมมา ๒๐ อสงไขย แสน
มหากัป ในคืนวันเพ็ญเดือนวิสาขมาสนั้น
เป้นการประกาศชัย คือฝันไปทั่วโลกธาตุ จึง
ได้รับการเฉลิมพระนามว่า พระชินเจ้า กระ
ชินสีห์ หรือพระอนันตชัน ซึ่งหมายถึงผู้มี
ชัยชนะตลอดกาล
เพื่อเป็นการระลึกนึกถึงชัยชนะของ
พระพุทธองค์ในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน 5
เราจะมาพร้อมใจกันรำลึกถึงชัยชนะอันยิ่งใหญ่
ที่ทรงมีเหนือพญามารในวันนั้น เรื่องมีอยู่ว่า
พญามารได้ตามรังควานพระสัมมา
สัมพุทธเจ้าของเรามาตลอดตั้งแต่ครั้งทรง
ออกผนวช ก็เอาสมบัติจักรพรรดิมาลัย แต่ไม่
สําเร็จ จึงปิดบัง เห็น จ๋า คิด รู้ ของพระองค์
ไม่ให้รู้หนทางสายกลาง ทำให้ต้องเสียเวลา
ในการบำเพ็ญเพียรทุกรกิริยานานถึง 5 ปี
แต่ในที่สุดเมื่อบารมีแก่รอบ พระองค์ก็ทรง
สามารถเอาชนะพญามารได้ คำว่า มารหรือ
พญามาร แปลว่า ผู้ขวางความดี ขวางหนทาง
การสร้างบารมีของผู้ที่คิดจะสร้างบารมี
นอกจากขัดขวางแล้ว ยังชักนำให้ท่าในสิ่งที่
เป็นบาปอกุศลอีกด้วย ให้สร้างกรรมพอกพูน
อาสวกิเลสให้หนาแน่นจนเป็นผังสำเร็จ และ
ต้องไปชดใช้กรรมอย่างทุกข์ทรมาน มีวิบากที่
พญามารนี่แหละที่เป็นผู้ทำให้สรรพสัตว์หลง
วนอยู่ในวัฏสงสาร
ทรงมีชัยชนะต่อพญามาร
ในวันที่พระมหาบุรุษจะตรัสรู้นั้น
พระองค์ประทับนั่งอยู่ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์
หรือต้นโพธิ์ตรัสรู้ ทรงหันพระพักตร์ไปทาง
ทิศตะวันออก มีพระทัยตั้งมั่น ประทับนั่งคู่
บัลลังก์ โดยตั้งสัตยาธิษฐานว่า “แม้เนื้อและ
เลือดในสรีระเราจะแห้งเหือดไปหมดสิ้น
จะเหลือแต่หนัง เอ็น กระดูกก็ตามที หาก
เรายังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ก็จัก
ไม่ทำลายบัลลังก์นี้ คือ จะไม่ลุกจากที่เด็ดขาด
พญามารล่วงรู้ถึงความคิดนั้นก็ทนไม่ได้
จึงคิดทำลายความตั้งใจของพระมหาบุรุษ
มิฉะนั้นแล้ว พระองค์จักพ้นไปจากอำนาจ
ของมาร พญามารจึงรวบรวมเสนามาร และ
ไพร่พลมารทั้งหมดยกทัพมาปราบพระโพธิสัตว์
โดยมีพลพรรคของเสนามารพวกที่อยู่ทัพหน้า
เป็นทางยาวถึง 6 โยชน์ กองทัพด้านขวาซ้าย
ด้านละ ๑๒ โยชน์ ส่วนทัพหลังตั้งอยู่จรด
ขอบจักรวาล สูงขึ้นเบื้องบน ๙ โยชน์ เมื่อ
พวกมารโห่ร้อง เสียงโห่ร้องนั้น เสมือนเสียง
แผ่นดินทรุดตั้งแต่พ้นโยชน์ เทพบุตรมาร
ช้างศิริเมขล์สูง ๑๕๐ โยชน์ เนรมิตแขนดั่งพัน
ถืออาวุธนานาชนิด พวกหมู่มารที่เหลือล้วนมี
รูปร่างน่าสะพรึงกลัวแตกต่างกันไป มีฤทธิ์
มีเดชแตกต่างกันอีกด้วย ต่างมุ่งมาจู่โจม
พระโพธิสัตว์จากทิศทั้งสี่