ข้อความต้นฉบับในหน้า
ขณะเดียวกันนั้นเอง เทวดาในหมื่น
จักรวาล กำลังพากันกล่าวสดุดีพระโพธิสัตว์
โดยมีท้าวสักกเทวราชยืนเป่าสังข์วิชยุตรซึ่งมี
ขนาดประมาณ ๑๐ ศอก พญากาฬนาคราช
บินพรรณนาพระคุณของพระโพธิสัตว์ ท้าว
มหาพรหมยืนกั้นเศวตฉัตร เมื่อเหล่ามาร
จู่โจมเข้ามาใกล้ล้นพระศรีมหาโพธิ์ ทวยเทพ
ทั้งหมดก็เกิดอาการขนพองสยองเกล้า ตก ก
ตกใจกันไปหมด รีบเผ่นหนีไปสุดขอบจักรวาล
พญากาฬนาคราช เดินไปบัญเขริกนาคพิภพ
มีขนาด ๕๐๐ โยชน์ นอนเอามือทั้งสองปิด
หน้า ท้าวสักกเทวราชลากสังข์วิชบุตร พร้อม
ด้วยเหล่าทวยเทพหนีไปอยู่ขอบจักรวาลโน้น
ท้าวมหาพรหมจับยอดเศวตฉัตรเสด็จหนีไป
พรหมโลกทันที
พระโพธิสัตว์ถูกทอดทิ้งอยู่เพียงลำพัง
พระองค์เดียว ไม่มีใครเป็นที่พึ่งได้ จึงทรง
รำพึงว่า “การเหล่านี้ทำความพากเพียรใหญ่
โต เพราะมุ่งหมายทำลายเราผู้เดียว ในที่นี้
เราไม่มีพวกพ้องบริวารมีแต่ทศบารมีเท่านั้น
ที่เป็นเสมือนบริวารชนที่เราชุบเลี้ยงมา
ตลอดกาลนาน เพราะฉะนั้น เราควรท่า
บารมี ๓๐ ทัศ ใ น ค น ส เอาศาสตรา
คือ บารมีนั่นแหละประหารกำจัดหมู่พลมาร
นี้ให้ได้" ทรงนึกถึงบารมีทั้ง ๑๐ ทัศ รวมไปถึง
อุปบารมีและปรมัตถบารมีเป็น ๓๐ ทัศ
เมื่อทรงรำลึกถึงพระบารมีทั้ง ๓๐ ทัศ
แล้ว พระองค์มิได้หวาดกลัวอานุภาพของ
พญามารและเสนามาร แม้พวกเสนามารจะ
เปล่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหวสะเทือนไปทั่วทั้งภพ
๓. หวังจะทำให้มหาบุรุษหวั่นไหว ก็ไม่อาจเข้า
มาใกล้พระมหาบุรุษได้ ด้วยอำนาจบารมี
ธรรมที่พระองค์สั่งสมมานับภพนับชาติไม่ถ้วน
ถึงมารจะแสดงอาการข่มขู่เช่นไร พระมหา
บุรุษยังคงประทับนั่งอยู่ที่รัตนบัลลังก์ โดย
มิไต้หวั่นไหวแม้แต่น้อย พญามารเห็นว่า
บรรดาเสนามารมิอาจทำอันตรายพระมหาบุรุษ
ได้ก็โกรธ คิดว่าเราจะต้องใช้อาวุธ ๙ ประการ
ทำให้พระมหาบุรุษกลัวแล้วหนีไปให้ได้ พญา
มารพลันบันดาลให้เกิดพายุใหญ่พัดมาจาก
ทั่วสารทิศ มีกำลังลมสามารถทำลายภูเขา
ใหญ่สูงถึง ๒ โยชน์ให้สลายไปในทันที แต่ผม
นั้นกลับไม่อาจหาอันตรายแม้จีวรของพระ
มหาบุรุษให้ไหวได้ พญามารได้บันดาลให้เกิด
มหาเมฆ ทำห่าฝนให้ตกลงมา น้ำฝนไหลนอง
ไปทั่ว แต่ก็ไม่อาจทำให้แม้จีวรของพระมหา
บุรุษเปียกได้
เพราะเปี่ยมล้นด้วยบารมี จึงมีชัยชนะ
ขณะที่พญามาร และพระโพธิสัตว์กำลัง
ต่อสู้กันอยู่ อุกกาบาตได้ตกลงมา ทั้งหลาย
ต่างมืดมัวด้วยควัน แผ่นดินแม้ไม่มีใจก็
เหมือนมีใจ ถึงความพลัดพรากเหมือนหญิง
สาวกลัดกวาดจากสามี เหมือนเถาวัลย์ต้อง
ลมพัดแรง มหาสมุทรก็มีน้ำปั่นป่วน แม่น้ำ
ทั้งหลายใหลทวนกระแส ลำต้นไม้ต่างๆ คดงอ
พายุร้ายพัดไปรอบๆ มีเสียงอึกทึกครึกโครม
ความมืดที่ปราศจากดวงอาทิตย์ก็เลวร้าย
สัตว์ร้ายท่องไปในกลางหาวก็ไม่กล้าบินต่อ
ส่วนหมู่ทวยเทพทั้งหลายเห็นมารประสงค์จะ
ประหารพระมหาบุรุษ ผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ
ทั้งปวง ต่างพากันเอ็นดูและส่งเสียงคอยเป็น
กำลังใจอยู่ห่างๆ
พระบรมโพธิสัตว์รู้ว่า กำลังผจญกับ
ศัตรูที่ไม่มีใครในภพสามจะปะทะได้ จึงนึกถึง
แต่กำลังบารมี ๓๐ ทัศ ที่สั่งสมมานับภพนับ
ชาติไม่ถ้วน ให้มาเป็นธรรมาวุธอันวิเศษเป็น
เกราะแก้วคุ้มกันภัย และเอาชนะศัตรูที่มา
ข่มขู่อยู่เบื้องหน้า ขณะนั้นเองพญามารได้
บันดาลให้ฝนถ่านสีแดงร้อนแรงราวกับไฟนรก
แต่เมื่อตกลงมาก็กลับกลายเป็นทิพยมาลา
บูชาพระมหาบุรุษ พญามารจึงบันดาลให้ฝน
ชนิดต่างๆ ตกลงจากอากาศ ไม่ว่าจะเป็น
เครื่องประหาร ถ่านไฟ ไฟนรก ฝนทราย ฝน
โคลนและฝนน้ำกรด แต่ก็ไม่สามารถท่า
อันตรายใดๆ ได้
เมื่อพญามารไม่อาจทําอันตรายมหา
บุรุษด้วยฤทธิ์ของตนได้ ก็โกรธมาก เร่ง
ไพร่พลให้ไปจับพระมหาบุรุษมาประหารให้ได้
ตัวพญามารเองก็ใสช้างศิริเมฆส์เข้าไปที่ต้นโพธิ์
ประกาศว่า “ดูก่อนสิทธัตถะ ท่านจงลุกขึ้นจาก
บัลลังก์นี้ รัตนบัลลังก์นี้ไม่ควรแก่ท่าน ควร
แต่เราต่างหาก พวกเสนามารพากันโห่ร้องรับ
กันลั่นไปทั่วภพสาม พระมหาบุรุษตรัสว่า
"รัตนบัลลังก์นี้ บังเกิดขึ้นด้วยบุญของเรา
หาได้เกิดเพราะบุญของท่านไม่ เพราะฉะนั้น
เราจะไม่ยอมลุกเด็ดขาด"
พญามารขู่ว่า “ท่านไม่รู้จักกำลังของเรา
เรามีพหลโยธามากมาย มีอาวุธครบครัน
ส่วนตัวท่านนั้นมีเพียงลำพังคนเดียว ยังกล้า
มาลองดีกับเราอีก" พระมหาบุรุษตรัสตอบว่า
"ดูก่อนมาร แม้ตัวท่านก็ไม่รู้กำลังของเรา