ข้อความต้นฉบับในหน้า
ทรัพย์ยังมีอยู่มาก ถึงแม้บางคนไม่ได้ศรัทธาแต่ไป
วัดฟังธรรม เพราะโลภอยากได้รัตนชาติของเรา
หากเขาได้ฟังแล้ว ก็มีโอกาสที่จะได้ศึกษาความ
จริงของชีวิตเมื่อคิดดังนี้จึงได้ตัดสินใจโปรยรัตนชาติ
ที่หน้าลานพระคันธกุฎี คนที่ยังยากจนอยู่ เมื่อไป
ฟังธรรมแล้ว ก็หยิบเอารัตนะของกุฎมพี่คนละกำ
สองกำ รัตนชาติถูกโปรยลงเพียงคราวเดียวและ
วันเดียวเท่านั้น ก็หมดไปอย่างรวดเร็ว เขาสั่งให้
บริวารนำมาโปรยอีก คราวนี้โปรยสูงถึงเข่า ทำอยู่
อย่างนั้นถึง ๓ ครั้ง นอกจากนี้ยังได้ทำกุศโลบาย
ที่จะทำให้มหาชนได้บรรลุธรรมกันมากๆ จึง
ตัดสินใจสละสมบัติประจำตระกูล ด้วยการวาง
แก้วมณีประมาณเท่าผลแตงโม แทบบาทของ
พระบรมศาสดา มหาชนได้เห็นแก้วมณีซึ่งเปล่ง
แสงสว่างไสวขลับกับรัศมีที่เปล่งจากพระพุทธ
สรีรกาย ก็ชุ่มฉ่ำทั้งดวงตาและดวงใจ ดวงตา
ภายนอกก็ได้เห็นสิ่งอันเป็นสิริมงคล ดวงตา
ภายในเกิดธรรมจักขุ ได้บรรลุมรรคผลนิพพานกัน
ถ้วนหน้า
วันหนึ่ง พราหมณ์มิจฉาทิฏฐิคนหนึ่ง ได้
แอบไปลักแก้วมณีดวงนั้น ท่านเศรษฐีจึงกราบทูล
ความในใจแด่พระพุทธองค์ว่า “พระพุทธเจ้าข้า
รัตนะ ๗ ประการ ที่ข้าพระองค์โปรยล้อมรอบ
พระคันธกุฎี ๓ ครั้ง สูงถึง
หัวเข่า ใครมารับไป ข้า
ส
พระองค์ก็ปลื้มปีติทุกครั้ง
แต่วันนี้ ข้าพระองค์ไม่รู้สึก
ปลื้มในการกระทำของ
พราหมณ์เลย พระเจ้าข้า”
พระบรมศาสดาตรัสให้
กำลังใจว่า “อุบาสก ช่างเถิด
สิ่งใดที่คนอื่นนำไปแล้ว
ก็จงเป็นอันนำไปด้วยดีเถิด ธรรมดาบัณฑิตควร
ทำความยินดีในทานทั้ง ๓ ขณะ จึงจะถูกต้อง
การสละวัตถุภายนอกออกจากใจแล้ว มารู้สึก
เสียดายภายหลัง ไม่ใช่วิสัยของสัตบุรุษ”
กุฎมพี่ได้ฟังดังนั้น จึงทำความปรารถนา
เอาไว้ว่า “พระเจ้าข้า พระราชาหรือโจรแม้หลายร้อย
ชื่อว่าสามารถเพื่อจะข่มเหงข้าพระองค์ ถือเอาเข็ม
เล่มเดียวของข้าพระองค์ จงอย่ามี และภัยใดๆ
อย่าได้มาบีบคั้นตัดรอนชีวิตและทรัพย์สินของ
ข้าพเจ้าได้” เมื่อถึงเวลาฉลองพระคันธกุฎี กุฎมพี
ได้ถวายมหาทานแก่ภิกษุ 5 ล้าน 4 แสนรูป
ภายในวิหารแห่งนั้นตลอด ๙ เดือน ในวันสุดท้าย
ได้ถวายไตรจีวรแก่ภิกษุทุกรูปจากนั้นอปราชิตกุฎมพี
ก็สั่งสมบุญทุกอย่าง คอยเป็นกำลังหลักในการ
สนับสนุนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก
จนตลอดอายุ ครั้นละโลกแล้ว ได้ไปบังเกิดในเทวโลก
เสวยทิพยสมบัติอันโอฬารเป็นเวลายาวนานมาก
บุญอจินไตยทำให้ได้มหาสมบัติจักรพรรดิ
ครั้นมาถึงในยุคพุทธกาลนี้ ท่านได้เกิดใน
ตระกูลเศรษฐีในกรุงราชคฤห์ ในวันที่กุฎมพี่เกิด
สรรพอาวุธในพระนครทั้งสิ้นรุ่งโรจน์ เปล่งแสง
แพรวพราว จึงได้รับการขนานนามว่า “โชติกะ”
หนูน้อยโชติกะได้รับการ
เลี้ยงดูอย่างดีประหนึ่ง
เทพกุมาร เมื่อเติบโตเป็น
หนุ่มพร้อมที่จะแต่งงานมี
คู่ครอง พระอินทร์ได้
เสด็จลงจากสวรรค์ชั้น
ดาวดึงส์ ทรงเนรมิตเป็น
นายช่างไม้เดินเข้าไปหา
พวกนายช่างซึ่งกำลังถาง
cb . ๑๕