ข้อความต้นฉบับในหน้า
คำว่า “หนึ่งสมอง สองมือ”
จะใช้กับเราไม่ได้อีกแล้ว
แต่ “หนึ่งสมอง หนึ่งมือนี้ จะสู้จนสุดชีวิต
ณ ประเทศลิกเตนสไตน์ ดินแดนแห่ง
ความมั่งคั่งและสงบสุข รายล้อมไปด้วยภูเขาและ
ทัศนียภาพอันน่าชม เป็นอีกหนึ่งประเทศอัน
งดงามในภาคพื้นยุโรป ซึ่งปกครองด้วยระบอบ
ประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ตั้ง
อยู่ระหว่างประเทศออสเตรียและสวิสเซอร์แลนด์
มีเนื้อที่เพียง ๑๖๐ ตารางกิโลเมตร หรือ ๑ ใน ๓
ของจังหวัดภูเก็ตเท่านั้น และดินแดนแห่งนี้สัญญาณ
การถ่ายทอดธรรมะผ่านดาวธรรม DMC เดินทาง
ไปถึง และที่นี่เราได้พบหญิงไทยหัวใจเด็ด แห่ง
ประเทศลิกเตนสไตน์ กัลยาณมิตร เรไร ศิริวานิช
ลูกพระธัมฯ นักสร้างบารมีพันธุ์ตะวัน ยอดนักสู้
ผู้ไม่ยอมแพ้โชคชะตา และคว้าความสุข ความสำเร็จ
ของชีวิตไว้ได้ ด้วยความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย
และการปฏิบัติธรรม
กัลฯ เรไร ศิริวานิช เจ้าของร้านอาหารไทย
เลื่องชื่อในลิกเตนสไตน์ ซึ่งมีลูกค้ามากมายหลาย
ระดับ ตั้งแต่ระดับกลางจนถึงเชื้อพระวงศ์ เล่าว่า
“อาหารทุกจานปรุงด้วยหัวใจ ด้วยความปรารถนา
ที่ว่าอยากให้คนทาน ทั้งอิ่มและอร่อย” จึงไม่
แปลกเลยที่ร้านของเธอจะได้รับการอุดหนุน
มากมายขนาดนั้น เธอทำงานอย่างร่าเริง
กระฉับกระเฉง จนบางครั้งผู้คนอาจลืมสังเกตไป
เลยว่า อวัยวะบางส่วนในร่างกายเธอไม่ครบ
และนอกเหนือจากนี้ใครเล่าจะรู้ว่า หญิงไทยใจเด็ด
ผู้นี้ เธอถูกวิบากกรรมทำร้าย จนแทบจะโดดตึก
ฆ่าตัวตาย....
มาฟังเรื่องราวของชีวิตเธอไปพร้อม ๆ กัน
“ฉันเป็นคนอุทัยธานี มาอยู่ที่ลิกเตนสไตน์
ได้ ๒๓ ปีแล้ว รู้สึกว่าชีวิตผ่านโชคชะตาที่เลวร้าย
มามากมายเหลือเกิน เมื่อตอนอายุ ๑๙ ปี ตอนที่
อยู่เมืองไทย ถูกรถชนจนทำให้ต้องถูกตัดแขน
ตอนแขนขาดใหม่ๆ ท้อมาก ท้อแบบอยากตาย
เลยคิดที่จะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย แต่พอมาชั่งใจดู
ก็คิดว่า "เฮ้อ...อย่าดีกว่า เรามีลูกที่ต้องดูแลอีก
ทั้งสองคน ถือว่านี่เป็นเวรเป็นกรรมก็แล้วกัน” จึง
คิดที่จะมีชีวิตอยู่ เลือกที่จะสู้ แม้นับจากนี้ คำว่า
"หนึ่งสมอง สองมือ” จะใช้กับเราไม่ได้อีกแล้วแต่
“หนึ่งสมอง หนึ่งมือนี้ จะสู้จนสุดชีวิต ต่อมาได้
แต่งงานกับสามีชาวลิกเตนสไตน์ และย้ายมาอยู่
ที่นี่ แต่ชีวิตรักก็ไม่ได้ราบเรียบ สามีมักคิดว่าเรามี
แขนเดียวทำอะไรก็ไม่ค่อยได้ ต้องให้เขาช่วยตลอด
ในที่สุดจึงได้แยกกัน และหาเลี้ยงตัวเอง โดย
ทำงานกับบริษัทผลิตชิ้นงานเหล็ก เป็นงานนั่งทำ
อยู่ที่บ้าน หลังจากนั้น ก็ตัดสินใจเปิดร้านอาหาร
โดยเริ่มต้นทำคนเดียว ระหว่างนั้นเรารู้สึกเสมอว่า
ชีวิตเราทำไมมันไม่เคยสมบูรณ์เลย บางทีก็ถูกโกง
บ้าง นั่งถอนหายใจทุกวัน
จนเมื่อกลางปี ๒๕๕๘ กำลังปรับช่องทีวี
ที่บ้าน ปรับไปปรับมาก็เจอหลวงพ่อใน DMC
เห็นแล้วสะดุดตาสะดุดใจ รู้สึกว่าหลวงพ่อท่าน
ผิวสวยเหมือนสีของจีวร เสียงไพเราะ ชอบเวลา
ท่านยิ้มและหัวเราะแบบผู้ดี ตอนแรกก็สงสัยว่า นี่
พระต่างชาติหรือเปล่า แต่พอได้ยินเสียงจึงรู้ว่า