ข้อความต้นฉบับในหน้า
สักครู่ใหญ่ ๆ คนที่ได้อาสาไปหาที่นั่งให้
หลวงพ่อ ก็วิ่งมาบอกว่าคนขึ้นไปแน่นหมดแล้ว
ไม่มีแม้แต่ที่จะยืน หลวงพ่อไปไม่ได้แน่ ท่านบอกว่า
“ดีนอ” แล้วก็หัวเราะ พ.อ.ปิ่น จึงได้ถามท่านอีกว่า
“ดียังไงครับหลวงพ่อ” ท่านก็ตอบว่า “ดีที่คืนนี้ไม่
ต้องไปนอนที่ขอนแก่น”
อย่างนี้เรียกว่าเป็นการ “ฉลาดคิด” คือรู้จัก
ทำใจปรับสภาพให้เข้ากับสถานการณ์ได้ทุกรูปแบบ
ซึ่งถ้าเรารู้จักนำเอาคาถา “ดีนอ” ของหลวงพ่อดีนี้
มาใช้กับชีวิตประจำวันได้แล้ว รับรองว่าจะมีชีวิต
ที่สดใสและอายุยืนขึ้นอีกเยอะ
นักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่ วิลเลียม โบลิโธ มี
คำกล่าวที่น่าฟังไว้ตอนหนึ่งว่า "สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต
ของมนุษย์ ไม่ใช่เพิ่มทุนให้สูงขึ้นจากผลกำไร
เพราะการทำเช่นนี้คนโง่ทุกคนก็สามารถทำได้ แต่
การทำให้เกิดกำไรจากการขาดทุนนั่นเป็นสิ่ง
สำคัญและทำได้ยาก ซึ่งผู้มีภูมิปัญญาเท่านั้น จึง
จะสามารถทำได้”
นี่คือ สิ่งที่แสดงถึงลักษณะอันแตกต่าง
ระหว่างคนที่มีสติปัญญากับคนโง่
ถ้าหากเราสามารถเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลาย
เป็นดีได้ในทันที ก็ถือว่าเป็นวิธีการอันชาญฉลาด
โดยเฉพาะในเหตุการณ์ที่คับขันมากๆ ก็จำเป็น
ต้องอาศัยความสงบเยือกเย็นและปฏิภาณเฉพาะ
ตัวเข้าแก้ไขสถานการณ์นั้นๆ
ตัวอย่างเช่น เมื่อคราวที่องค์สมเด็จ
พระนเรศวรมหาราชของชาวไทย ในขณะที่ทรง
พลาดท่าพลัดหลงเข้าไปตกอยู่ท่ามกลางวงล้อม
ของเหล่าอริราชศัตรู ก็ทรงอาศัยปฏิภาณอัน
เฉียบแหลม พลิกสถานการณ์อันเลวร้ายให้กลาย
เป็นประโยชน์ ด้วยการตรัสวาจาท้าทายพระมหา
อุปราชาว่า
“เจ้าพี่จะยืนช้างอยู่ในร่มไม้ทำไม เชิญ
เสด็จมาทำยุทธหัตถีกันให้เป็นเกียรติยศเถิด
กษัตริย์ภายหน้าที่จะชนช้างได้อย่างเราจะไม่มีแล้ว”
นี่คือการ “ฉลาดพูด” คือรู้จักใช้วาจาพลิก
สถานการณ์ที่เป็นรอง ให้กลายมาเป็นต่อได้อย่าง
น่าอัศจรรย์
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการทำยุทธหัตถีครั้งนั้น
ไม่เพียงแต่จะช่วยพลิกสถานการณ์ที่เลวร้ายของ
องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้เท่านั้น แต่ยัง
เป็นการพลิกประวัติศาสตร์ของชาติไทยอีกด้วย
ผู้ใดที่รู้จัก ฉลาดทำฉลาดคิด ฉลาดพูด
อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งหมดก็ตาม ในทาง
พุทธศาสนาถือว่าเขาเหล่านี้เป็น “ผู้มีศิลปะ
เพราะผู้มีศิลปะนั้นย่อมสามารถเปลี่ยนขยะ
ให้เป็นปุ๋ยได้ทุกโอกาสนั่นเอง
๔๒