ข้อความต้นฉบับในหน้า
เทวดารู้ตัวอีกเหมือนกันว่ากำลังบุญยังไม่พอ ไปเป็นเทวดาแล้วไปนั่งสมาธิต่อ ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้
โลกยังเย็นๆ อยู่ พอเป็นเทวดาเป็นนางฟ้าแล้ว ไม่เอาอะไรอีกแล้ว เอาแต่เที่ยวๆ เล่นๆ
ขี้เกียจอย่างกับคนอีกเหมือนกัน แต่พอเห็นว่าโลกไหม้แน่คราวนี้ จะเป็นหมอกเพลิงแน่
ตาหูเหลือก นั่งสมาธิกัน รีบทำฌานให้เกิดขึ้น ถึงคราวจุติจากเทวดา
คือตายแบบเทวดาก็ไปเกิดเป็นพรหม เป็นไปอย่างนั้น นี่เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ
ฝ่ายดีก็ถีบตัวเองขึ้นไป ปฏิวัติตัวเองขึ้นไป จนกระทั่งไปเป็นพรหมจนได้แหละ
ฝ่ายบาปก็ดิ้นรนตกนรกกันไปจนได้อีกเหมือนกัน
เมื่อถึงคราวที่โลกไหม้เต็มที่แล้ว บนโลกมนุษย์นี้จึงไม่มีอะไรเหลือหรอ
ลุกเป็นหมอกเพลิงหมด แม้สวรรค์ชั้นต่างๆ ก็ไหม้ ไหม้จนหมด สวรรค์ชั้นต่ำๆ ไหมก็ไหม้ไป
พวกพรหมอยู่ในชั้นที่สูงเกินกว่าไฟจะไหม้ ก็รอดตัว
ส่วนพวกที่ตกนรกอยู่ พอถึงเวลาเข้า ขณะที่ไฟกำลังไหม้โลกจนกระทั่งเป็นหมอกเพลิง
แรงบาปของเจ้าพวกสัตว์นรกจะดึงดูดเอาสัตว์นรกไปติดอยู่กับโลกอื่นๆ จักรวาลอื่นๆ
ไปเป็นสัตว์นรกสัตว์เดรัจฉานในโลกในจักรวาลนั้นๆ ตามภาวะกรรมของมัน
พระพรหมลงมาเกิด
โลกลุกไหม้เป็นหมอกเพลิง เป็นล้านๆๆๆ ปี ในที่สุดก็เย็น เมื่อเย็นแล้ว อย่างที่บอกเอาไว้
แผ่นดินก็หอม บัวพยากรณ์ก็เกิดขึ้น ง้วนดินสำหรับเป็นอาหารก็มี ถึงวันดีคืนดี ถึงจังหวะหนึ่ง
พวกพรหมนั่นแหละ พรหมแต่ละท่านก็บุญไม่เท่ากัน เมื่อตอนเป็นมนุษย์สร้างบุญไว้ไม่เหมือนกัน
พรหมมีหลายประเภท ประเภทหนึ่งเรียกว่า อาภัสสราพรหม คือพรหมที่มีแสงสว่างในตัวเอง
ท่านคอยมองดูอยู่ พรหมพวกนี้ไม่ได้สร้างโลก แต่มองดูการเกิดของโลกอยู่
12