ข้อความต้นฉบับในหน้า
พออาภัสสราพรหมเห็นโลกเย็นลง ล้วก็มีกลิ่นหอมอย่างที่ว่า ก็ลงมาดูกัน
ประกอบกับถึงคราวจะหมดบุญ จะต้องจุติจากพรหมลงมา
พอเห็นง้วนดินที่มีกลิ่นหอมก็อยากจะลองชิม ความอยากเกิดขึ้น ห้ามใจไม่อยู่หรอก
ขนาดเป็นพรหมก็ห้ามใจไม่อยู่ ตอนเป็นพรหมนะ เหาะได้ อยู่ตามวิมานของตัวเองลอยอยู่
แม้โลกเป็นหมอกเพลิงก็ไหม้ไม่ถึง แต่เพราะความอยากรู้ อยากเห็นว่าโลกไหม้แล้ว
บนแผ่นดินมีอะไร จึงเหาะลงมาดู พอเห็นง้วนดิน ก็อยากจะลองชิม พวกอยากรู้อยากเห็น ว่างั้น....
ปรากฏว่าพอชิมหมับเข้าไป เหตุร้ายเกิดขึ้นทันทีคือ
เจ้าส่วนดินนั้นก็ซึมซาบเอิบอาบเข้าไปในร่างกาย แต่ว่าตอนนั้นนะ ตัวเองเป็นกายที่เป็นทิพย์นะ
เป็นกายที่ละเอียด เป็นกายที่โปร่งบางเบาใส โปร่งบางยิ่งกว่าลูกโป่งฟองสบู่ ใสยิ่งกว่าเพชร
แต่พอทดลองกินง้วนดินซึ่งเป็นธาตุหยาบกว่าเข้าไปเท่านั้น กายที่เป็นทิพย์ก็เสื่อมลง
มีความหยาบขึ้น ฤทธิ์ที่มีอยู่ก็ค่อยๆ ลดลงไป จนไม่สามารถจะเหาะกลับที่เดิมได้
เมื่อกายเป็นกายหยาบซะแล้ว หมดบุญส่วนละเอียดซะแล้ว
คือถึงคราวจะต้องจุดจากพรหมมาเกิดเป็นมนุษย์นั่นเอง รัศมีที่เคยสว่างไสวก็ลดลงๆ
จนกระทั่งความสว่างในตัวน้อยกว่าแสงของดวงอาทิตย์ จึงปรากฏให้เห็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์
ดวงดาว ปรากฏขึ้นมา และให้ความสว่างแก่โลก
มนุษย์ยุคแรก
การจุติจากพรหมแล้วมาเกิดเป็นคน ตายรุ๊ปเกิดปั๊บ แล้วโตทันที
เป็นการเกิดแบบไม่ต้องมีพ่อมีแม่ การเกิดประเภทนี้ภาษาศาสนาของเราเรียกว่า
เกิดแบบโอปปาติกะ คือ เกิดแล้วโตทันทีเลย แบบฝ่ายบุญนี้เป็นอย่างนี้
13