ข้อความต้นฉบับในหน้า
14
สวนฝายบาปก็มีเหมือนกัน อย่างพวกสัตว์นรก พอตายปุบลงนรก
โตพรวดเป็นสัตว์นรกเลย เพราะฉะนั้น เราอ่านพระไตรปิฎก เราไม่เคยเจอนะว่า
ยมบาลเอานมมาป้อนสัตว์นรก ไม่มีหรอก มีแต่จับโยนลงกระทะทองแดง ทำชั่วเอาไว้มาก
ต้องโดนอย่างนี้ การไปเกิดในนรกนั้น ก็เป็นการเกิดแบบโอปปาติกะเช่นกัน คือเกิดแล้วโตเลย
หลังจากที่กับใหม่ได้เริ่มขึ้น บุญบาปที่เคยทำไว้ในภพในอดีตเริ่มให้ผล
คือใครที่ภพในอดีตเป็นคนมักโกรธบ้าง
เป็นคนที่ไม่เคยทำทานด้วยเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มบ้าง
พวกนี้พอกายเริ่มหยาบขึ้น ผิวพรรณจากเดิมใสเป็นแก้ว ใสเป็นเพชร พอกายค่อยๆ
กลายเป็นกายเนื้อ แต่ยังไม่ใช่เป็นเนื้ออย่างพวกเราอย่างนี้ มันค่อยๆ กลาย คือค่อยๆ หยาบลง
จากโปร่งเบาเหมือนกับลูกโป่งฟองสบู่ ก็เริ่มแข็งขึ้นมา แล้วเริ่มค่อยๆ ขึ้นขึ้น พอค่อยๆ แข็งขึ้นมา
ค่อยๆ อุ่นขึ้นมา ด้วยอำนาจของง้วนดินนี่ ก็เกิดการเปรียบเทียบกันขึ้นคือ
ใครที่ภพในอดีตเป็นคนมักโกรธ ไม่ค่อยทำทานด้วยเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม
ผิวพรรณของเขาจะหยาบกระด้าง ไม่มีเงา ไม่มีนวล ส่วนพวกที่ให้ทานมาอย่างดี
รักษาศีลมาอย่างดี ไม่เป็นคนมักโกรธ ผิวพรรณเขาก็จะผ่องใสกว่า พอไม่เหมือนกันเท่านั้นแหละ
การรังเกียจ การดูถูก
การเหยียดกันด้วยเรื่องผิวพรรณก็เกิดขึ้นมาตั้งแต่นั้นเลย
นี่ขนาดจากพรหมมาเป็นคน ก็เริ่มเหยียดผิวกันเลย
เพราะฉะนั้น อย่างแปลกใจเลยนะว่า ในปัจจุบันนี้ก็ยังมีการเหยียดผิวกัน
คนผิวขาวก็ดูถูกคนผิวเหลือง คนผิวเหลืองก็ดูถูกคนผิวดำ ก็ว่ากันไป นี่มันดูถูก
มันเหยียดผิวกันมาตั้งแต่ต้นกัปแล้ว แม้ตอนนี้ยังดูถูกกันอยู่ อย่าแปลกใจเลย เชื้อสายมันยังไม่หมด
นี่เป็นอย่างนี้ เพราะคนเรานะ มักจะพยายามหาทางให้ตัวเองดีกว่าเขา ดังนั้นก็ดูถูกเขา
เหยียดหยามเขา นี่เป็นอย่างนี้