การทำงานในแบบ Active และการเพาะปลูก Dhamma TIME เดือนตุลาคม พ.ศ. 2556 หน้า 19
หน้าที่ 19 / 40

สรุปเนื้อหา

บทความนี้พูดถึงการทำงานในรูปแบบ Active โดยเน้นการเพาะปลูกเพื่อเพิ่มผลผลิตและการควบคุมงานให้มีประสิทธิภาพ เมื่อมีการทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่ย่อมส่งผลให้มีการผลิตข้าวมากขึ้น นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีในปัจจุบันที่สามารถเพิ่มความสามารถในการเพาะปลูกและการผลิตอาหารได้ มนุษย์เคยต้องพึ่งพาการหาอาหารจากธรรมชาติ และการปฏิวัติเกษตรกรรมเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการผลิตอาหารมากขึ้นอย่างยั่งยืน สรุปคือการทำงานในด้านการเกษตรมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาชีวิตของมนุษย์อย่างแท้จริง และสามารถสร้างความมั่นคงทางอาหารได้ในระยะยาว

หัวข้อประเด็น

-วิธีการทำงานแบบ Active
-การเพาะปลูกและการเพิ่มผลผลิต
-บทบาทของเทคโนโลยีในเกษตรกรรม
-การปฏิวัติเกษตรกรรม
-การจัดการและควบคุมงาน

ข้อความต้นฉบับในหน้า

การทำงานในแบบ Active รู้จักการเพาะปลูกเพื่อผลผลิตที่มากขึ้น เป็นผู้กระทำเราเป็นเจ้าของงาน ควบคุมการ เพราะถ้าทุกคนทำงานทั้งหมดย่อมให้ข้าวเหลือกิน ทำงานว่ามากทำน้อยเราจะไม่เครียด แต่ถ้าทำ บางส่วนจึงแบ่งมาทำส่วนผลไม้ที่เหลือก็ไปเป็นแบบ Passive เป็นการฝนได้บังต่อ ฝนให้กระทำชั่งฝีมือ ประดิษฐ์ประตอบข้างของครัวใช้ ทอผ้าจนรายงานไม่ทำก็ต้องโดน เมื่อเจองานมากๆ และต่างๆ เข้ายิงให้เครียดเพราะถูกบังคับให้ทำ เทคโนโลยีปัจจุบัน มีส่วนทำให้เรารู้จักไหม? ทำให้เราสว่างมากขึ้นแต่จะกี่เกี่ยวหรือไม่ขึ้นอยู่กับแต่ละคน ถ้าเราสุดท้ายที่กินเองตามธรรมชาติไม่ใช่สัตว์เลี้ยง สัตว์ก็อยู่ตามธรรมชาติทั้งวันอยู่กับการหาอาหาร มนุษย์ในยุโรปเบานี้เป็นลักษณะเรือนร่างอยู่คล้ายๆ สัตว์อาศัยอยู่ในถ้ำ ต้อนะบนเวณไปหาดไม้ป่าหรือสัตว์รามบางเพื่อเป็นอาหารซึ่งก็นุ่งยู่กับการหาอาหาร การปฏิวัติครั้งใหญ่มนุษย์คือการปฏิวัติเกษตรกรรม เราเคยได้ยินแต่ปฏิวัติอุตสาหกรรม แต่การปฏิวัติครั้งใหญ่มากว่าเกษตรกรรม เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์รู้จักการเพาะปลูก จะกินไม่ได้ไปดินหาไปแต่ปลูกสวนผลไม้ ปลูกข้าวซึ่งได้มากกว่า การหาเก็บ เมื่อเกิดการปฏิวัติทำให้มนุษย์ผลิตอาหารได้คราวมากขึ้น มาถึงพึงพอที่จะกินแล้วเหลือทำให้คนบางกลุ่มที่ไม่จำเป็นต้องผลิต
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หน้าหนังสือทั้งหมด

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More