ข้อความต้นฉบับในหน้า
คุณลุงสายศักดิ์ สิทธิธรรม ไวยาวัจกรวัด
เล่าให้ฟังว่า “วัดแห่งนี้ก่อนปี พ.ศ.๒๕๐๒ มีสภาพ
เป็นที่รกร้างว่างเปล่าปกคลุมด้วยป่ารกชัฏ ทั้งยัง
เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าที่ดุร้าย ไม่มีถนน
หนทาง ไฟฟ้าก็ไม่มี หมู่บ้านแถวนี้ลำบากมากๆ
การปลูกพืชไม่ได้ผลเพราะดินเปรี้ยว ข้าวก็ปลูก
ไม่ขึ้น ถึงเวลาหน้าน้ำน้ำก็ท่วม ถึงเวลาหน้าแล้ง
ก็แล้งสุด ๆ ดินก็อุ้มน้ำไม่อยู่ มีการสำรวจดินพบ
ว่าดินบริเวณนี้เป็นดินที่เลวที่สุดในประเทศไทย
ใครที่มาทำมาหากินเขาก็หนีกันหมด เพราะที่มัน
ดอน ทำนาก็ไม่ได้
หลวงพ่อเล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า “เมื่อก่อนเป็น
ที่อาศัยของสัตว์ใหญ่ สัตว์ร้ายหลายชนิด เช่น ช้าง
เสือป่า งูเห่า ตอน ๓ ทุ่มก็ได้ยินเสียงร้องแล้ว
อาตมาก็หวาดเสียวเหมือนกัน”
คุณยายสุด สมบูรณ์ หลานผู้ถวายที่ดินให้
วัด เล่าว่า “ตอนแรกวัดนี้ร้าง ไม่มีพระ และมีศาลา
หลังเดียว โบสถ์ อาคารต่างๆ ก็ไม่มี หลวงพ่อ
รูปนี้บวชได้พรรษาเดียว ก็มาสร้างทันที ท่านทำ
ของท่านมาเรื่อย พระก็มาอยู่พรรษามากขึ้น”
เนื่องจากวัดและชุมชนแห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่
ปลายสุดของจังหวัดนครนายก ดังนั้นการ
คมนาคมเป็นไปด้วยความลำบาก โดยทางบกนั้น
ต้องอาศัยคันคูน้ำของชลประทานเป็นถนน ซึ่ง
แทบจะทุกปีที่พื้นที่แห่งนี้ประสบภาวะน้ำท่วมและ
สะพานที่อาศัยข้ามแม่น้ำนครนายกนั้นเป็น
สะพานไม้ ทำให้ประชาชนในพื้นที่ลำบากมาก
แต่ด้วยความเมตตาของหลวงพ่อท่านจึงเดินทาง
ไปติดต่อหน่วยราชการหลาย ๆ ครั้งให้มาช่วย
เหลือชาวบ้าน
พระเดชพระคุณพระวิสุทธิโสภณ เจ้าคณะ
จังหวัดนครนายก ได้กล่าวถึงหลวงพ่อวัดเตยน้อย
แห่งนี้ว่า “เมื่อก่อนวัดนี้เป็นที่ทุรกันดารมากของ
จังหวัด แต่ท่านสามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ มา
ได้ พัฒนาวัด ทำถนนหนทาง ทำสะพานข้าม
๔๖