ข้อความต้นฉบับในหน้า
ช่วงที่เป็นสามเณร
พวกท่านมีโอกาสออก
บิณฑบาตด้วย ซึ่งให้ความ
รู้สึกที่แตกต่างไปจากที่เคย
เอาของมาใส่บาตรพระ แต่
ตอนนี้ได้มาบิณฑบาตเอง
สามเณรเจมส์ (จากดูไบ)
บอกว่า “คนที่มาใส่บาตรจะ
31
ต้องฟังพระพี่เลี้ยง พระอาจารย์ ทำตามใจตัวเอง
ไม่ได้” นอกจากนี้เขาบอกว่ายังต้องอดทนกับ
ความซนของเพื่อนร่วมรุ่นด้วย เช่น
"บางคนแกล้งเจ็บขา ทำขากะเผลก จะได้
ไม่ต้องทำงาน แต่พอเห็นกระรอกก็เผลอกระโดด
ขึ้นมา แล้วร้องว่า "เฮ้ย ดูสิ” ลืมเจ็บขาแล้ว เดิน
ได้แล้ว”
“เวลาพระพี่เลี้ยงให้เดิน ๑ แถวก็กลายเป็น
๓ แถว ให้เดิน ๒ แถวก็กลายเป็น ๕ แถว”
ถึงแม้หลายๆ คนจะซนมาก อยู่นิ่งไม่ได้นาน
แต่พวกเขาก็มีผลการปฏิบัติธรรมที่ดีขึ้นกันทุกคน
เห็นดวงแก้ว เห็นองค์พระ มีความสุข และรักการ
นั่งสมาธิมากขึ้น นั่งได้นานขึ้น จากเดิม ๑๕ นาที
ระยะหลังๆ นั่งได้นานถึง ๔๕ นาที
วันที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ ปาล์มมี
กับเพื่อนๆ ตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะวันนี้พวกเขา
จะได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์ จะได้เอาบุญให้กับ
โยมพ่อโยมแม่มากๆ สำหรับสามเณรปาล์มมี แม้
โยมแม่โยมพ่อของท่านไม่ได้มาร่วมงานบวชครั้งนี้
แต่ท่านก็บอกว่า “จะเอาบุญไปฝากพ่อแม่ให้เยอะๆ”
ได้บุญกับสามเณรมาก
เพราะสามเณรนั่งสมาธิเยอะ
สำหรับรุ่นโรงเรียน
นานาชาติ ซึ่งมีอายุเฉลี่ย
มากกว่ารุ่นนี้ ก็มีกิจวัตร
กิจกรรมที่คล้ายคลึงกัน แต่
ปัญหาเรื่องความซนแบบเด็กๆ มีน้อยลง รุ่นนี้
ได้บวชนานกว่า อีกทั้งยังได้ไปปฏิบัติธรรมที่
สวนพนาวัฒน์ จ. เชียงใหม่ อีกด้วย สำหรับเรื่อง
การนั่งสมาธิ รุ่นนี้ก็มีผลการปฏิบัติธรรมที่ดีเช่นกัน
เมื่อสิ้นสุดโครงการ สามเณรทุกรูปก็ต้อง
ลาสิกขา และแยกย้ายกันไปตามวิถีทางของตน
แต่ปาล์มมีและเพื่อนๆ รวมทั้งสามเณรจาก
รุ่นโรงเรียนนานาชาติอีกหลายคนยืนยันว่า ถ้า
พระเดชพระคุณหลวงพ่ออนุญาตให้มีโครงการ
นี้อีก พวกเขาจะกลับมาบวช เพราะสิ่งที่ได้รับจาก
การบวชครั้งนี้เกินความคาดคิดของพวกเขา ไม่ว่า
จะเป็นเรื่องการฝึกความอดทน ฝึกวินัย ฝึกมารยาท
หรือฝึกการอยู่ร่วมกันเป็นทีม ที่สำคัญได้ฝึก
นั่งสมาธิมากขึ้น เห็นคุณค่าของสมาธิมากขึ้น ว่ามี
อานิสงส์ทำให้มีความสุข และทำให้ใจเย็นลงมาก
แม้สิ้นสุดโครงการแล้วพวกเขาก็จะนำประสบการณ์
หลายๆ อย่างที่ได้รับจากการบวชครั้งนี้ไปใช้
ในการดำเนินชีวิต ดังที่ปาล์มมีพูดทิ้งท้ายไว้ว่า
“จะเอาสมาธิไปใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะหลัง
จากนั่งสมาธิ อารมณ์จะดี ทุกอย่างจะดีขึ้น”
อยู่ ๒) ๒๔