ข้อความต้นฉบับในหน้า
พระมหากษัตริย์องค์ต่อมาคือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระองค์ทรงอธิษฐานให้ได้
เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเบื้องหน้าเช่นกัน ด้วยอานิสงส์ที่พระองค์ทรงปกป้องพระพุทธศาสนาให้
คงอยู่คู่กับประเทศไทย
พระมหากษัตริย์อีกพระองค์หนึ่งที่ทรงจัดให้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกในประเทศไทย
หลังจากที่ช่วงนั้นสภาพบ้านเมืองประสบปัญหาหลายด้านและตกต่ำลง แล้วทรงตั้งจิตอธิษฐานขอ
ไปเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเบื้องหน้า นั่นก็คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
มหาราช
การที่จะมีผู้ตั้งใจมั่นที่จะไปเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเบื้องหน้านั้น เราก็รู้ว่าเป็นเรื่องยาก
เพราะเพียงแค่จะมาศึกษาธรรมะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงสอนไว้เพียงเท่านี้ก็ยังถือว่ายากแล้ว
แต่คุณยายของเราท่านได้พยายามอบรมและปลูกฝังลูกศิษย์อยู่เสมอว่า ในการเข้าวัด
ปฏิบัติธรรมนั้น อย่าคิดแค่จะเอาตัวเองให้รอดเพียงคนเดียว ท่านสอนให้ดูตัวอย่างการสร้างบารมี
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และสอนลูกศิษย์ให้ตั้งความปรารถนาไปเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใน
เบื้องหน้า
ในตอนนั้นหลวงพ่อได้ถามคุณยายว่า คนธรรมดาทั่วไปจะไปเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในเบื้องหน้าได้หรือไม่
คุณยายท่านบอกว่า เราทุกคนมีสิทธิ์คิดได้ แต่ต้องตั้งปณิธานไว้ให้ดี ถ้าหากสั่งสมบุญ
บารมีไปเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ เป็นพระอัครสาวกก็ยังดี และหากเป็นพระอัครสาวกไม่ได้
แต่ได้เป็นพระอสีติสาวกก็ยังดี
แต่ถ้าเป็นพระอสีติสาวกไม่ได้ อย่าคิดจะเป็นเพียงพระสาวกธรรมดา อย่างน้อยพวกเรา
ต้องเป็นพระสาวกที่ได้อภิญญา จึงจะสามารถช่วยชาวโลกได้
คุณยายท่านเคี่ยวเข็ญลูกศิษย์ลูกหามาอย่างนี้ จนกระทั่งลูกศิษย์ทุกคนมีใจใหญ่ กล้าที่จะ
ตั้งเป้าหมายชีวิตไปเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเบื้องหน้า เพื่อรื้อสัตว์ขนสัตว์เข้าพระนิพพาน และ
ได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งสอนของคุณยายที่ศึกษามาจากพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ
ภาษีเจริญ (สด จนฺทสโร) มาอย่างไม่มีตกหล่น เพื่อสร้างบุญสร้างบารมีให้ได้มากๆ ตลอดมา
หลวงพ่อตั้งใจเดินตามท่าน ความจริงต้องเรียกว่าพยายามวิ่งตามมากกว่า ถึงอย่างนี้แล้ว
ก็ยังตามท่านไม่ทัน แต่ด้วยวิธีการสอนที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาของคุณยายและคุณครูไม่ใหญ่
ท่านค่อยๆ บอก ค่อยๆ สอน แล้วก็ค่อยๆ ตั้งเป้าหมายให้ จึงทำให้หลวงพ่อมีกำลังใจทั้งวิ่งและ
ทั้งเดินตามท่านมาจนถึงทุกวันนี้
(อ่านต่อฉบับหน้า)