ข้อความต้นฉบับในหน้า
จึงจำเป็นต้องมีทรัพย์สมบัติต่างๆ เอาไว้เป็น
เครื่องหล่อเลี้ยงร่างกาย ความเจริญทางโลกนี้
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ความเจริญทางวัตถุ” หรือ
“ความเจริญทางโลกียทรัพย์” ซึ่งมีอยู่ ๕ ประการ คือ
๑.
เจริญด้วยนาและสวน คือ มี
อสังหาริมทรัพย์ หรือมีทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ เช่น
มีเรือกสวนไร่นา มีที่ทางในการประกอบอาชีพ มี
ที่อยู่อาศัยเป็นหลักเป็นฐาน ไม่ใช่เป็นคนเร่ร่อน
เที่ยวไปอาศัยนอนที่นั่นคืน ที่นี่คืน หรือว่าต้องไป
อาศัยอยู่ตามใต้สะพาน เหมือนอย่างกับหมูหมา
กาไก่เช่นนั้น
๒. เจริญด้วยทรัพย์และข้าวเปลือก คือ มี
สังหาริมทรัพย์ หรือมีทรัพย์ที่เคลื่อนที่ได้ เช่น มี
เงินทองเอาไว้สำหรับจับจ่ายใช้สอยอย่างเพียงพอ
ทั้งเพื่อการกินการอยู่ ทั้งเพื่อการสร้างบุญบารมี
พูดง่ายๆ คือ มีรายได้ มีกิน มีใช้ ไม่อด ไม่อยาก
๓.
เจริญด้วยบุตรและภรรยา คำว่า “เจริญ
ด้วยบุตรและภรรยา” ในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่า
ให้มีบุตรและภรรยามากๆ แต่หมายความว่า ถ้า
จะมีคู่ครองก็ให้เลือกคนที่มีศีลมีธรรมมาเป็นภรรยา
หรือว่าสามี และให้มีความซื่อสัตย์ มีความเกื้อกูล
ต่อกัน ส่วนบุตรนั้นจะมีกี่คนพระพุทธองค์ไม่ได้ห้าม
แต่ว่าเมื่อมีแล้วต้องเลี้ยงดูเขาให้ดี คือ ทาง
ร่างกายก็เลี้ยงดูให้เจริญเติบโต ให้แข็งแรง อย่า
ให้เจ็บป่วยไข้ ทางจิตใจก็อบรมสั่งสอนให้เป็นคนดี
๔. เจริญด้วยทาส กรรมกร และคนรับใช้
คือ การมีบริวาร มีลูกจ้าง ลูกน้อง หรือว่าคน
รับใช้ ที่ได้รับการฝึกฝนอบรมมาอย่างดี ไว้ช่วย
ประกอบสัมมาอาชีวะมากๆ
๕. เจริญด้วยสัตว์ ๔ เท้า คือ สมัยที่
เครื่องจักร หรือว่าเครื่องไม้เครื่องมือ ยังไม่มี ใน
สังคมเกษตรกรรมย่อมหนีไม่พ้นการใช้แรงงานสัตว์
เช่น วัว ควาย และการเลี้ยงสัตว์เอาไว้เป็นอาหาร
ส่วนพวกพ่อค้าต้องเดินทางไกล จากเมืองหนึ่งไป
อีกเมืองหนึ่ง ก็อาศัยแรงงานสัตว์ในการขนส่ง
เช่นกัน แถมบางครั้งมนุษย์ยังนำสัตว์ เช่น ช้าง
ม้า เป็นต้น มาใช้ในการทำสงครามอีกด้วย
เพราะฉะนั้นจึงต้องมีสัตว์เหล่านี้เอาไว้ให้เพียงพอ
แต่ว่าเมื่อใช้แรงงานแล้ว ต้องเลี้ยงดูให้ดีด้วย
ไม่ใช่ว่าใช้จนมันหมดแรง หรือพอมันอายุมากๆ
ก็จับมาฆ่ากินเสียเลย
ความเจริญทางธรรม
ความเจริญทางธรรมนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
“ความเจริญทางจิตใจ” หรือว่า “ความเจริญทาง
อริยทรัพย์” ซึ่งมีอยู่ ๕ ประการ คือ
๑. เจริญด้วยศรัทธา คือ มีความมั่นคงใน
คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างยิ่ง ตั้งแต่
เชื่อคนที่ควรเชื่อ คบคนที่ควรคบ สนับสนุนคนที่
ควรสนับสนุน เป็นขั้นต้น จนกระทั่งมีความเชื่อ
มีความเคารพ ในคำสอนของนักปราชญ์ ของ
บัณฑิตผู้มีศีลมีธรรม เรื่อยไปจนถึงมีศรัทธาใน
คำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งแล้ว ก็
นำเอาคำสอนของพระองค์มาเป็นหลักในการ
ตัดสินว่า สิ่งใดผิด สิ่งใดถูก สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร
๒. เจริญด้วยศีล คือ เมื่อรู้ว่าพระสัมมา
ကာ