วิธีปฏิบัติตนเมื่อเกิดการกระทบกระทั่งกัน วารสารอยู่ในบุญ ประจำเดือน มีนาคม พ.ศ.2549 หน้า 39
หน้าที่ 39 / 84

สรุปเนื้อหา

วิธีปฏิบัติตนเมื่อเกิดการกระทบกระทั่งกันในสถานการณ์การทำงานระหว่างนายจ้างและลูกจ้างมีความสำคัญ เพื่อความสัมพันธ์ดีและการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ประการแรกควรทำใจว่าการกระทบกระทั่งกันเป็นเรื่องธรรมดา ประการที่สองไม่ควรหาคนผิดแต่ให้พิจารณาตัวเองและข้อบกพร่องร่วมกัน ทั้งสองฝ่ายควรใช้มุมมองว่าเป็นอวัยวะในร่างกายเดียวกันเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ นอกจากนี้คุณสมบัติที่ดีของลูกจ้างและนายจ้างก็มีความสำคัญในการพัฒนาความสัมพันธ์ในที่ทำงาน โดยลูกจ้างควรมีความเต็มใจ แข็งใจ ตั้งใจ และเข้าใจในการทำงาน ขณะที่นายจ้างควรมีความเมตตา กรุณา และมุทิตาในการจัดการแรงงานให้เกิดสวัสดิการที่ดีและการพัฒนาทักษะของลูกจ้าง

หัวข้อประเด็น

-การรับมือความขัดแย้ง
-การพัฒนาคุณสมบัติของลูกจ้าง
-การสร้างความสัมพันธ์นายจ้าง-ลูกจ้าง
-การสนับสนุนและสวัสดิการ

ข้อความต้นฉบับในหน้า

วิธีปฏิบัติตนเมื่อเกิดการกระทบกระทั่งกัน ในเมื่อมนุษย์ยังมีกิเลสอยู่ด้วยกันทุกคน การ กระทบกระทั่งกันจึงเป็นเรื่องปกติ ส่วนวิธีง่ายๆ ที่ จะไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกันอย่างรุนแรง ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างก็คือ เวลาเกิดการ กระทบกระทั่งกัน ทั้ง ๒ ฝ่ายต้องทําใจให้ได้ดัง ต่อไปนี้ ประการที่ ๑ ให้นึกว่าการกระทบกระทั่งกัน เป็นเรื่องธรรมดา และเป็นเรื่องที่จะต้องช่วยกันแก้ไข ประการที่ ๒ อย่ามัวแต่หาว่าใครเป็นฝ่ายผิด เหมือนอย่างกับการที่จะไปหาว่าลิ้นผิดหรือว่าฟันผิด ที่มากระทบกัน ประการที่ ๓ ให้พิจารณาว่าตัวของเราเอง ก็ มีส่วนก่อให้เกิดความผิดพลาดในครั้งนี้เช่นกัน พูดง่ายๆ อย่ามัวไปหาว่าใครเป็นผู้ผิด แต่ ให้หาว่าความผิดพลาดในครั้งนี้คืออะไร จากนั้นทั้ง ๒ ฝ่ายก็หาข้อบกพร่องของตัวเองให้พบ โดยตั้ง ความปรารถนาดีซึ่งกันและกันเอาไว้อย่างนี้ ฝ่ายนายจ้าง ให้ทำความรู้สึกว่า ถ้าเป็น อวัยวะในร่างกาย ตัวเราเปรียบเสมือนศีรษะ ส่วน ลูกจ้างเปรียบเสมือนเป็นมือ เป็นเท้า หรือว่าเป็นแขน เป็นขา เพราะฉะนั้นถ้ามนุษย์มีเฉพาะศีรษะ แต่ ไม่มีแขน ไม่มีขา ไม่ว่าจะฉลาดอย่างไรก็ไม่ สามารถที่จะทำงานได้ ฝ่ายลูกจ้าง ให้ทำความรู้สึกว่า ตัวเราเปรียบ เสมือนแขน ขา แต่ไม่ว่าแขน ขาจะแข็งแรงอย่างไร หากขาดศีรษะเสียแล้ว ก็ทำงานอะไรไม่ได้เช่นกัน เมื่อทั้งลูกจ้างและนายจ้างต่างก็นึกว่า ตัว เองเป็นอวัยวะ เป็นส่วนประกอบของร่างกายด้วย กันอย่างนี้ แล้วค่อยๆ ช่วยกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ในไม่ช้าปัญหาต่างๆ ก็จะหมดไป ไม่อย่างนั้นจะ นึกถึงความเป็นญาติกันก็ได้ คือนายจ้างทำความ รู้สึกว่าเป็นพ่อ เป็นแม่ ส่วนลูกจ้างทำความรู้สึกว่า เป็นลูกเป็นหลานอย่างนี้เดี๋ยวก็หันหน้าเข้าหากันเอง หลวงพ่อตอบปัญหา พระภาวนาวิริยคุณ คุณสมบัติของลูกจ้างที่ดี ? ในการค้นหาข้อบกพร่องของตัวเองนั้น ปู่ย่าตาทวดท่านมีวิธีสำรวจตรวจสอบสำหรับผู้ที่ เป็นลูกจ้าง โดยให้ถามตัวเองว่า มีคุณสมบัติ ประการนี้อยู่ในตัวหรือไม่ ๑. ฉันทะ คือ เต็มใจทำ ทุกครั้งที่ทำงาน หรือว่าเวลามีงานอะไรมาถึง เราเต็มใจทำเหมือน อย่างกับเป็นงานของตัวเองทุกครั้งหรือไม่ ๒. วิริยะ คือ แข็งใจทำ เมื่อพบอุปสรรคขณะ ที่กำลังทำงาน เราได้แข็งใจทำงานนั้นหรือไม่ จิตตะ คือ ตั้งใจทำ นอกจากเต็มใจทำ และแข็งใจทำแล้ว เราตั้งใจทำให้ดีที่สุดหรือไม่ ๓. ๔. วิมังสา คือ เข้าใจทำ ในการทำงานแต่ละ ครั้ง เราเข้าใจทำ หรือว่าฉลาดในการทำงานหรือไม่ เมื่อตรวจสอบตัวเองแล้วปรากฏว่า เรามี คุณสมบัติครบทั้ง ๔ ประการ คือ ทั้งเต็มใจทำ แข็งใจทำ ตั้งใจทำ และเข้าใจทำ อย่างนี้จึงจะใช้ได้ คุณสมบัติของนายจ้างที่ดี สำหรับนายจ้างท่านก็ให้สำรวจตรวจสอบ ตัวเองว่า มีคุณสมบัติ ๔ ประการนี้อยู่ในตัวหรือไม่ ๑. เมตตา เมื่อลูกจ้างตั้งใจทำงานแล้ว เรา ได้แบ่งงานแบ่งการและจ่ายค่าแรงให้เขาอย่างพอ เหมาะพอสมหรือไม่ คือมีความเมตตาต่อเขาหรือ ไม่นั่นเอง ๒. กรุณา เวลาที่ลูกจ้างแข็งใจทำงาน ต้อง ลำบากลำบน ทนแดด ทนลม ทนฝน ทนเหนื่อย อยู่นั้น เรามีความกรุณาให้สวัสดิการเขาเต็มที่หรือ ไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถึงคราวป่วยไข้ เราดูแล เขาเต็มที่ไหม ไม่ใช่ว่ายามดีก็ใช้ ยามไข้กลับ ปล่อยให้ตายไป มันต้องยามดีก็ใช้ยามเจ็บไข้ก็รักษา คือจะต้องมีความกรุณาให้เขาอย่างเต็มที่ด้วย ๓. มุทิตา ในขณะที่ลูกจ้างตั้งใจทำงานอย่าง สุดฝีมืออยู่นั้น เราได้ส่งเสริม สนับสนุน โดย จัดการอบรมเพื่อฝึกฝนฝีมือของเขาให้เพิ่มขึ้นหรือไม่
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More