ข้อความต้นฉบับในหน้า
สัมพุทธเจ้าทรงได้ความรู้ที่บริสุทธิ์ มาจากการที่
พระองค์ทรงควบคุมกาย วาจา ของพระองค์ให้
บริสุทธิ์เสียก่อน เพราะฉะนั้นเราเป็นลูกถือเอา
พระพุทธองค์เป็นที่พึ่งแล้ว แม้ว่าศีล ๒๒๗ ข้อ
ยังรักษาไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร แต่ว่าอย่างน้อยต้อง
รักษาศีล ๕ ในวันธรรมดา และรักษาศีล ๘ ใน
วันพระให้ได้
๓.
เจริญด้วยสุตตะ คือ หมั่นศึกษาธรรมะ
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อะไรที่ยังไม่รู้ก็รีบไป
ซักถามจากผู้รู้ ผู้เจริญด้วยสุตตะ ไม่ปล่อยชีวิต
ให้ผ่านไปวันๆ
เจริญด้วยจาคะ จาคะในที่นี้ เป็นเรื่อง
ของการเสียสละอย่างน้อย ๒ ประการด้วยกัน คือ
๑) สละทรัพย์ ออกมาทำบุญทำทาน
สร้างบุญ สร้างกุศล เก็บเป็นเสบียงเอาไว้ภพชาติ
เบื้องหน้า
๒) สละอารมณ์ คือ สละอารมณ์ที่ไม่ดี
ต่าง ๆ ออกไปจากใจให้หมด ด้วยการทำสมาธิ
ภาวนา เหมือนอย่างที่คุณครูไม่ใหญ่ท่านพูดอยู่
บ่อยๆ ว่า “ถ้าคิดอะไรไม่ออก ก็ให้ออกจากความ
คิดนั้นๆ เสีย”
สาเหตุที่ทำให้คิดอะไรไม่ออกก็เพราะว่า มี
เชื้อโลภบ้าง เชื้อโกรธบ้าง เชื้อหลงบ้าง มาห่อหุ้ม
คอยบีบคั้นใจคนเราอยู่ พอออกจากความคิด
ด้วยการจรดใจหยุดนิ่งเข้าไปที่ศูนย์กลางกาย
เข้าไปสู่แหล่งความรู้ที่บริสุทธิ์ภายในตัวเรื่องวุ่นวาย
ต่างๆ ก็จะหมดไป
๕. เจริญด้วยปัญญา เมื่อใจจรดนิ่งอยู่ที่
ศูนย์กลางกายมากเข้า ใจก็จะสว่างขึ้นมาได้เอง
แล้วความเข้าใจเหตุความเข้าใจผลก็จะเกิดขึ้น
มาระดับหนึ่ง ซึ่งท่านเรียกว่า “เจริญด้วยปัญญา”
แต่ถ้าใครยังก้าวเข้าไปไม่ถึงปัญญาใน
ระดับนี้ ก็ไม่เป็นไร ไปหาปัญญาในระดับหยิบ
ฉวยก่อนก็ได้ โดยการเข้าไปหาท่านผู้รู้ เข้าไปหา
ครูบาอาจารย์ หรือว่าหาตำรับตำรา เช่น พระ
ไตรปิฎกมาอ่าน เดี๋ยวก็มีความรู้จนได้ ไม่โง่ข้าม
ชาติแน่นอน
จากพระสูตรนี้ เราจะเห็นได้ชัดเจนว่า
นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามมนุษย์ให้
รวยแล้ว พระองค์ยังทรงส่งเสริมให้รวยอีกด้วย
แต่ว่าในขณะที่รวยทรัพย์ทางโลก หรือว่ารวย
โลกิยทรัพย์อยู่นั้น จะต้องรวยอริยทรัพย์ด้วย พูด
ง่ายๆ ใครอยากรวยก็รวยไปเถอะ แต่อย่ารวยบน
ความพินาศ อย่ารวยบนความเดือดร้อนของคน
อนนนเอง
เมื่อยังไม่ได้บวชเป็นพระภิกษุ ยังต้องทำ
มาหากิน เพราะฉะนั้นโลกิยทรัพย์กับอริยทรัพย์
ต้องทำควบคู่กันไปให้พร้อม ถ้าเมื่อไรมาบวชเป็น
optx you ma