ข้อความต้นฉบับในหน้า
ที่ได้รับในที่สุดก็จะเหมือนกับหลวงพ่อเมื่อตอนที่ฝึก
รูดโซ่ลุยไฟ คือใจไปอยู่ข้างนอกตัว
อีกวิธีหนึ่งคือ หลับตาลืมตาก็นึกถึงเปลว
เทียนเช่นกัน แต่นึกน้อมเอาเปลวเทียนหรือความ
สว่างนั้นมาตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
เริ่มต้น
อาจจะชัดบ้างไม่ชัดบ้าง แต่นึกบ่อยๆ เข้าแล้วก็จะ
ชัดขึ้นมาเอง แล้วปฏิกิริยาก็จะ
ก็เข้าสู่วงจรการบรรลุธรรมได้เช่นเดียวกัน
ครูบาอาจารย์ที่ท่านผ่านการฝึกมามาก ท่าน
ไม่กังวลว่าลูกศิษย์ท่านจะเคยฝึกสมาธิมาจากสำนัก
ไหนบ้าง เพราะท่านเข้าใจดีว่าถึงอย่างไรก็หลักการ
เดียวกัน แต่วิธีการอาจแตกต่างกันไปบ้างเท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะฝึกแบบใด เมื่อติดขัดขึ้นมา
ตรงไหน ท่านก็แก้ไขให้ได้บุคคล
ค่อยๆ เกิดขึ้นเป็นวงจร ซึ่งจะ
ที่ผ่านการฝึกจากท่านเหล่านี้
เป็นฐานของการบรรลุธรรมของ
เราต่อไปในอนาคต
ส่วนการฝึกแบบเพ่ง
อสุภะ หรือเพ่งซากศพ
..การฝึกสมาธิแต่ละแบบนั้น มี
จึงเป็นพยานยืนยันได้ว่า ธรรมะ
ความแตกต่างกันโดยวิธีการ
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็น
แต่หลักการนั้นเหมือนกัน คือ
อกาลิโก
นำใจกลับมาไว้ที่ศูนย์กลางกาย การฝึกสมาธิแต่ละ
พระผู้ใหญ่สมัยปู่ย่าตาทวด
เพราะเป็นทางเดียวเท่านั้นที่
แบบนั้น มีความแตกต่างกัน
ของเรา ท่านมักใช้วิธีนี้กับ
ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทาง
โดยวิธีการ แต่หลักการนั้น
พระภิกษุหนุ่มที่เพิ่งบวช เพราะ
กายและใจไปพร้อมๆ กัน..
เหมือนกัน คือนำใจกลับมาไว้ที่
ออกพรรษาแต่ละปี พระเพื่อน
ศูนย์กลางกาย เพราะเป็น
รุ่นเดียวกันก็ทยอยสึกออกไป
ทางเดียวเท่านั้นที่ทำให้เกิด
ท่านก็เริ่มคิดแล้วว่าจะบวชต่อหรือจะสึกดี
พระอุปัชฌาย์ท่านเห็นหงอยๆ ไปก็มองออก
ท่านให้ตามเข้าไปในป่าช้า ไปดูศพที่เพิ่งตายใหม่ๆ
นั่งล้อมรอบศพแล้วก็หลับตาท่องอนิจจัง ทุกขัง
อนัตตา เมื่อเห็นสภาพการเปลี่ยนแปลงของศพแล้ว
พระท่านก็ได้ความสลดใจ พิจารณาอย่างนี้ไปสักพัก
การเปลี่ยนแปลงทางกายและใจไปพร้อมๆ กัน
สติสัมปชัญญะก็จะสมบูรณ์ขึ้น เป็นเส้นทางให้ความ
สว่างภายในเกิดขึ้นมา แล้วเมฆหมอกคือความโลภ
ความโกรธ ความหลง ที่เคยมาบังใจก็จะพัดผ่านไป
ความสว่างภายในก็มากขึ้นไปตามลำดับๆ การรู้
การเห็นธรรมก็เกิดขึ้นมาตามลำดับอย่างนี้