ข้อความต้นฉบับในหน้า
พุทธศาสน์ จึงประกาศคำกลางมาหลายว่าสามารถว่า “ข้าพระองค์เคยสงสัยว่า ระหว่างศีล กับการเป็นผู้ทรงจำความรู้มาก สิ่งใดจะประเสริฐกว่ากัน แต่บังเอิญข้าพระองค์มีมีความสงสัยแล้วชาติที่นับประเสริฐที่สุด บุคคลผู้ศีล แม้ว่าความรู้มาก แต่ความรู้นั้นและจะนำนาความทุกข์มาให้ตัวเองและคนอื่นอีกมากมาย กษัตริย์และพ่อค้าผู้ไม่ดิ้นอยู่ในธรรม หากโลกไปเมื่อไหร่ ก็อย่เข้าถึงทุกข์ ส่วนกษัตริย์ พรามณ์ พ่อค้า กรรมกร ที่ได้ปฏิบัติธรรม ย่อมเป็นผู้เข้าถึงสุขเหมือนกัน วิชาไตรเทพ ชาติหน้ามีหรือพวกพ้องก็ไม่สามารถจะให้ความสุขในพนมได้ ส่วนศีลที่รักษาริษย์ดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้ทั้งในภพชาตินี้และภพหน้า” เมื่อพระโพธิสัตว์พรหมนาคนาค ขอฉลองคำตอบของศีลแล้ว จึงกราบทูลอธิษฐานอธิษฐานอธิษฐานอธิษฐานอธิษฐานอธิษฐานอธิษฐานอธิษฐานอธิษฐานอธิษฐานอธิษฐานอธิษฐานอธิษฐานอธิษฐานอธิษฐาน
อธิษฐานสมบัติให้ได้ดั่งนี้ได้ ครั้นละโลกแล้วก็ได้ไปเกิดในพรหมโลกการรักษาศีลเป็นบุญก็อร่อยดี คือ วิธีการทำบุญที่ช่วยเกื้อหนุนการทำความดีเบื้องสูงให้สมรณ์ยิ่งขึ้น เป็นกุลธรรมที่ตั้งใจว่างจากความชั่ว และตั้งใจจะไม่เบียดเบียนใคร ทำให้มีกระแสแห่งความเมตตามีขึ้นในใจ เมื่อศีลบริสุทธิ์ก็ กุศลธรรมเบื้องสูงคืออรหาใส่บารมีและปัญญาก็จะเกิดขึ้น การรักษาศีลจึงเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตและจิตใจให้บริสุทธิ์สูงส่งดังงามยิ่งขึ้น “ท่านทั้งหลายจงตามารักษาศีล จงเป็นผู้ศีลเป็นที่รัก มีความเคารพในศีลทุกเมื่อ เหมือนนกต้อยตี้ิรักษา_foglไม่เหมือนฉารักษาขนาง เหมือนคนมีบุคคลคนเดียว รักษาบัตรรผู้เป็นที่รักและเหมือนคนมียื่นตาข้างเดียว รักษานันทที่ยังเหลืออีกข้างเดียว” (พรหมาจาร-สูตร) ...