ข้อความต้นฉบับในหน้า
เท่านั้น ลีมสินิกเลย เพราะฉะนั้นทุก ๆ ๑๕ วัน ก็จะต้องมีการทานกันสักครั้งเป็นอย่างน้อย
สำหรับในเมืองไทยเรา เมื่อพระพุทธศาสนาเข้ามาแล้ว บรรพบุรุษของไทยท่านพิสูจน์ว่า การทิ้งห่างในระยะเวลา ๑๕ วัน แล้วมาทวนรวดเดียวกันนี้ ยาวไป
การทิ้งห่าง ๑๕ วันสำหรับนักบวช ก็จักจะ ๆ ต้องมาทวนกันสักครั้ง แต่สำหรับชาวบ้านนั้น ถ้าห่าง ๗-๘ วัน ความเพียรก็ลำลำ ล่ำลำแล้ว คำสอนคำเตือนต่าง ๆ ก็ลิ่มหมดแล้ว
ปู่ย่าตายวดของไทยจึงนำมาชอยจาก ๑๕ วัน ให้กลายเป็นทุก ๆ ๗ วัน โดยกำหนดวัน ๘ ค่ำ เข้าไปใส่ตรงกลาง เพราะฉะนั้นจึงเกิดวันพระเล็กขึ้นมาในบ้านเมืองไทยของเรา
๓) ทำไมต้องประชุมในวันเดือนหงายกับวันเดือนมืด
คำถามต่อมา ทำไมต้องเลือกเอาวันเดือนหงาย (คำเรียกคืนที่มดงจันทร์ส่องแสงสว่างมาก โดยปกติหมายถึงวันที่มีพระจันทร์เต็มดวง) เดือนไมัดด้วย (หมายถึงคืนที่มองไม่เห็นดวงจันทร์)
ความมุ่งหมายจริง ๆ นั้น มุ่งเอาที่คืนเดือนหงาย เพราะบรรยากาศของคืนเดือนหงายเหมาะต่อการฟังเทศน์ เหมาะต่อการอบรมจิตใจ แต่ช่วงระยะเวลาระหว่างเดือนหงาย ๓๐ วันนั้นนานไป จึงแบ่งช่วงเวลาจากเป็นวันที่เต็มดวง กับวันที่เดือนดับเต็มที่ คืนนั้นมีบรรยากาศที่เหมาะแก่การฟังธรรมดีเหลือเกิน เพราะเห็นหน้าเห็นตากันขัด ท้องฟ้าแจ่มใส ให้โอวาทกันท่ามกลางแสงจันทร์
คืนเดือนมีดวงหน้ากันไม่บ่กัน ก็ยังหลับตาว่า รำกันไปเป็นอย่างกันไป เป็นการเทศน์เหมือนกัน แต่ว่าเป็นเทศน์ในลำภี ผู้เทศน์ก็ลับตาแต่คนฟังทำษามรไปด้วย เกิดเป็นธรรมเนียนปฏิบัติอีติหนึ่ง
ธรรมเนียนนี้เป็นธรรมเนียมของนักปราชญ์บัณฑิตตั้งแต่ก่อนพุทธกาลมาแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นความฉลาดของคนยุคโบราณ ซึ่งรู้จักใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ ทำให้เขาประคับประคองหมู่คณะมาได้ เพิ่มความเข้มแข็งให้หมู่คณะได้ นักปราชญ์บัณฑิตตั้งแต่ดึกเขาทำกันอย่างนี้มากมายทุกยุคทุกสมัย
หลวงพ่อเคยไปเยือนอินเดียหลายครั้ง ก็พบว่าธรรมเนียมนักบวชอีกนกเขายังทำกันอยู่
๔) การประชุมทุกวันพระทำให้แต่ละนิกายยังเก็บรักษาคำสอนหลักในพระพุทธศาสนาได้ครบ
ในพระพุทธศาสนาเอง แม้ผ่านมา ๒,๖๐๐ ปีแล้ว และมีกำเริบเป็นนิกายโน้นนิกนี้บ้าง แต่ว่าศีล ๕ ข้อยงี้อยู่ อริยมรรคมีองค์ ๘ ยังอยู่ อริสัจ ๔ ยังอยู่ แม้เรื่องอื่นแผ่วไป แต่เรื่องสำคัญเหล่านี้อยู่ในพระพุทธศาสนา นิกายต่าง ๆ ยังเก็บรักษาไว้ได้ดีเกือบทั่วโลก