ข้อความต้นฉบับในหน้า
คำว่า "ฉวะ" ในด้านนี้ก็พระพุทธศาสนากว่าว
The Term Laddhi in Theravāda Buddhist Scriptures 53
จากนั้นใน "นิทเทส" ได้นำคำใน "สุดตนบาต" ดังกล่าวมา อรรถาธิบาย ดังต่อไปนี้
Sakom hi diṭṭhiṁ katham acceyya? ti. Ye te titthiyā
Sundarīṁ paribbājikaṁ haṁtavā, samaṇānaṁ
sakyapputtiyaṁ avaññaṁ pakāsayitvā, evaṁ etaṁ
l abhāṁ yasam sakkārasammānam paccāharissaṁā ti
evam’diṭṭhikā evam’khaṭika evaṁ’rucikā evaṁ’lad’kā
evaṁ’jhasayā evaṁ’adhippāyaṁ atikkamituṁ.
(MNd: 64^1–
[คำว่า] พิงกาว่างความเห็น (ทิฏฐิ) ของตนได้อย่างไรเล่า?
[อภิธานวา] เดียวนี้เหล่านั้น มีความเห็นอย่างนี้ มีความพอใจ
อย่างนี้ มีความชอบใจอย่างนี้ มีลักษณะอย่างนี้ มีอารฺยะอย่างนี้
มีความประสงค์อย่างนี้ มีความประสงค์อย่างนี้ว่า “พวกเรามา
นางสุทรีบริหารกแล้ว ประกาศโทษพวกสมณสกุณฺยบุตร ก็ฉะ
เอาลา ยศก็การะและสมานะกลิ่นมาได้อย่างร้อยร้อย” เช่นนี้เหล่านนี้มิสามารถบว lazqwาความเห็นของตน ความ
พอใจของตน ความชอบใจของตน ลักษณะของตน อัธยาศัยของตน
ความประสงค์ของตนได้
ชุดคำที่ปรากฏใน “สุดตนบาต” ได้แก่ “ทิฏฐิ” (diṭṭhi=ความเห็น)
“ฉนท” (chanda=ความพอใจ) “รุจี” (ruci=ความชอบใจ)
ส่วนชุดคำที่ปรากฏใน “นิทเทส” ได้แก่ คำทั้งสามข้างต้น และ “ลัทธิ”
(laddhi=ลัทธิ) “อชฺชาสญา” (ajhāsaya=อัธยาศัย) “อภิปลาย”