ข้อความต้นฉบับในหน้า
ตัวอย่างเช่น อนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านมีชื่อจริงว่า สุทัตตเศรษฐี ดำรงตำแหน่ง
เศรษฐีสืบต่อจากบิดา แต่เพราะท่านตั้งโรงทานเพื่อแจกจ่ายอาหารแก่คนทุกข์ยากในเมือง
สาวัตถี ชาวเมืองจึงขนานฉายานามใหม่ให้ท่านว่า อนาถบิณฑิกเศรษฐี แปลว่า “เศรษฐี
ผู้มีก้อนข้าวสำหรับคนยากจน” หรือ “เศรษฐีผู้เป็นที่พึ่งของคนยาก” ซึ่งเป็นการเรียกชื่อตาม
ความเป็นผู้มีใจบุญของท่านนั่นเอง
ดังนั้น ด้วยเหตุเหล่านี้ “เศรษฐี” จึงเป็นตำแหน่งทางราชการที่บ่งบอกถึงฐานะ
ความร่ำรวยของประเทศ และสภาพเศรษฐกิจสังคมของประชาชน โดยผู้เป็นเศรษฐีมี
หน้าที่จะต้องเข้าเฝ้าพระราชา เพื่อรายงานสภาพสังคม สภาพเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิต
ของประชาชน ให้พระราชาทรงทราบสถานการณ์ทั้งในอาณาจักรและนอกอาณาจักร เพื่อ
จะได้ตระเตรียมนโยบายต่าง ๆ เพื่อบำบัดทุกข์และบำรุงสุขให้ประชาชนได้อย่างทันการณ์
นั่นเอง
ๆ
ดังนั้น ด้วยข้อดีของการเป็นที่ยอมรับจากพระราชานี้เอง จึงทำให้เศรษฐีมีบทบาท
อย่างมากในการขยายงานพระพุทธศาสนาไปในวงกว้างอย่างรวดเร็ว เพราะได้มีโอกาสนำ
พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปกราบทูลให้พระราชาทราบอยู่เสมอ และยัง
ได้รายงานถึงข้อดีต่าง ๆ เกี่ยวกับการอนุญาตให้พระภิกษุทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ในแว่นแคว้นของตน ทำให้ไม่เป็นที่หวาดระแวง และได้รับความสะดวกในการสร้างวัดใน
ท้องถิ่นต่าง ๆ ตามมา เพราะมีเศรษฐีเป็นตัวเชื่อมระหว่างพระพุทธศาสนากับพระราชานั่นเอง
ขณะเดียวกัน “คหบดี” ในแต่ละท้องถิ่น ก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน เพราะ
เป็นเหมือนผู้เข้ามาช่วยอุดช่องว่างรอยโหว่ในการทำงานเผยแผ่ของเหล่าเศรษฐีได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้เพราะไม่มีภาระทางด้านราชการ จึงมีเวลาลงสำรวจพื้นที่มากกว่า สร้างความคุ้นเคย
สนิทสนมกับชาวบ้านได้คล่องตัวกว่า ทำให้ชาวบ้านกล้าที่จะเปิดใจพูดคุยปัญหาในชีวิต
ประจำวันได้โดยตรง ไม่ต้องปิดบัง ทำให้มีความใกล้ชิดประชาชนมากกว่าผู้ดำรงตำแหน่ง
เศรษฐี
ดังนั้น ด้วยข้อดีของคหบดี ที่เป็นผู้ใกล้ชิดประชาชนนี้เอง จึงทำให้มีเวลาดูแล
พระภิกษุสงฆ์ได้ทั่วถึงทุกพื้นที่ โดยไม่มีตกหล่นหรือตกค้างให้ท่านตกระกำลำบากในการ
บำเพ็ญสมณธรรม เพราะมีคหบดีเป็นตัวเชื่อมระหว่างพระพุทธศาสนากับประชาชนนั่นเอง
ดังนั้น การเพิ่มขึ้นของจำนวนวัด การเพิ่มขึ้นของจำนวนพระภิกษุ การเพิ่มขึ้นของ
จำนวนชาวพุทธในแต่ละท้องถิ่นนั้น จึงต้องอาศัยกำลังของ “เศรษฐี” และ “คฤหบดี”
ประจำท้องถิ่น ในการทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาทั้งใน “เชิงกว้าง” และ “เชิงลึก” ควบคู่
กันไป
การเผยแผ่เชิงกว้าง คือการอาศัยความน่าเชื่อถือของตัวเอง ช่วยเป็นประชาสัมพันธ์
ให้ชาวบ้านชาวเมืองในดินแดนที่ยังไม่มีศรัทธา ให้เกิดการยอมรับในพระพุทธศาสนาได้
อย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้เกิดความหวาดระแวงจากทางราชการและเกิดแรงต้านจากชาวเมือง
ท้องถิ่น ทั้งนี้เพราะต้องการเพิ่มจำนวนวัดให้เกิดขึ้นในท้องถิ่นนั้นอย่างรวดเร็วและทั่วถึง