ข้อความต้นฉบับในหน้า
304
แตกร้าวบ้าง หรือได้มาไม่นานก็มีอันจะต้องแตก
ทำลายไปบ้าง เหมือนของที่ถูกทิ้งขว้าง อีกนัยหนึ่ง
คือ ให้ของที่ไม่ประณีต เวลาสมบัติเกิดก็จะได้ของ
ที่เจือวิบัติ บางทีก็เป็นทุกขลาภที่ทำให้ร้อนใจใน
ภายหลัง
ควรทราบอานิสงส์ของทานแล้วจึงให้
ประการสุดท้าย ผู้ให้ต้องทราบถึงอานิสงส์
ของการให้ทานแต่ละอย่างเพื่อจะได้ยังความปลื้มปีติ
ใจในทานบารมี เบื้องต้นต้องให้โดยเชื่อผลที่จะมีใน
อนาคต บางคนให้โดยไม่แน่ใจว่าจะมีผลในอนาคต
การให้แบบนี้ใจจะไม่ทุ่มเทในบุญ กุศลก็เกิดกับใจ
ได้ไม่เต็มที่ เหมือนเวลาที่เราทำงานอย่างมีความ
เชื่อมั่นในผลสำเร็จ เราจะทุ่มเทความพอใจและความ
เพียรลงไปอย่างเต็มที่ ผลงานที่ออกมาก็จะดี การ
ทำบุญทุกอย่างล้วนมีอานิสงส์ เราหว่านพืชเช่นใด
ก็จะได้ผลเช่นนั้น เวลาจะทำบุญอะไร จึงควรให้
ความสำคัญของอานิสงส์ เราจะได้ทำบุญอย่างมี
ชีวิตชีวา เพราะรู้ว่าผลบุญอันยิ่งใหญ่กำลังรอคอย
เราอยู่
จะเห็นได้ว่า มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้ไป
บังเกิดในสวรรค์ทั้งนั้น เพราะสวรรค์เป็นของกลาง
ของทุกคน ไม่ได้เป็นของใคร เหมือนดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์ ดวงดาว อากาศ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
ทุกคนมีสิทธิ์ใช้ได้เหมือนกันหมด เพียงแต่ว่าจะใช้
สิทธิ์หรือไม่ ถ้าอยากไปสวรรค์ก็ปลูกฉันทะ ให้ละเว้น
บาปอกุศลทุกชนิด หมั่นประกอบการกุศลทุกอย่าง
อันจะทำให้ใจผ่องใส เมื่อจิตผ่องใส ชีวิตหลังความ
ตายก็จะได้ไปเสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ เมื่อบุญ
เต็มเปี่ยมก็จะสามารถเจริญสมาธิภาวนาได้เข้าถึง
ธรรม หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ แล้วได้ไปเสวย
เอกันตบรมสุขในอายตนนิพพานอันเป็นเป้าหมาย
สูงสุดของสรรพสัตว์ทั้งปวง
“ผู้ใดมีศีล ได้ของมาโดยธรรม มีจิตเลื่อมใส
เชื่อกรรมและผลของกรรม ให้ทานในท่านผู้มีศีล
เรากล่าวทานของผู้นั้นว่ามีผลไพบูลย์” (พุทธพจน์)