ข้อความต้นฉบับในหน้า
LD
เพราะว่าได้ฟังธรรม ฟังแล้วรู้จักบุญ บาป ว่าทำ
อย่างนี้จะได้บุญมาก ทำอย่างนี้จะได้มนุษย์สมบัติ
ได้ทิพย์สมบัติ ได้นิพพานสมบัติ ฉะนั้น การให้
ธรรมทาน จึงชื่อว่าชนะการให้ทั้งปวง
ส่วนผู้ใดมีสติปัญญา นำธรรมะไปสั่งสอน
ให้แก่ชนทั้งหลาย ผู้นั้นชื่อว่าให้น้ำอมฤตธรรม
เพราะว่าชนทั้งหลายจะสำเร็จมรรคผลนิพพานได้
ก็เพราะอาศัยการฟังพระสัทธรรม ผู้ที่ได้ฟังธรรม
ย่อมมีจิตที่ผ่องใส ยกใจของตนเองให้สูงขึ้นจาก
บาปกรรมทั้งหลาย มีกำลังใจทำความดีต่อไป ส่วน
ผู้แสดงธรรมก็ได้ชื่อว่าให้สิ่งที่ประเสริฐ ให้เส้นทาง
ของการสร้างความดี พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
“ผู้ให้ธรรมทาน ชื่อว่าให้อมฤตธรรม
ๆ
ท่านสาธุชนทั้งหลาย.... เมื่อเราได้ให้ทานแล้ว
แม้ไม่หวังสิ่งของต่าง เป็นเครื่องตอบแทนก็ตาม
แต่ทุกครั้งที่ให้ไป ย่อมจะบังเกิดเป็นบุญสะสมอยู่
ในใจ ซึ่งบุญนี้จะมีอานุภาพไปดึงดูดสิ่งดี ๆ มาให้
แก่ชีวิตเรา เปรียบเหมือนดอกไม้ที่มีสีสวย เกสรมี
น้ำหวานหอม ย่อมดึงดูดหมู่ภมรผีเสื้อให้มาดูดกิน
น้ำหวานนั้น เราให้สิ่งใดไป สิ่งดี ๆ เหล่านั้นก็จะ
หวนกลับมาสู่ตัวเราไม่ช้าก็เร็ว เพราะการทำบุญย่อม
มีผลเป็นความสุขเสมอ..
ทุกครั้งที่เราทำความดี ผลของความดีจะเกิด
ขึ้นที่ใจเราก่อน ทำให้ใจเราสบาย ถ้าเราหมั่นทำ
ความดีอย่างต่อเนื่อง ความดีจะแผ่ขยาย มีพลังที่จะ
ดึงดูดสิ่งที่ดีเข้ามาสู่ชีวิตของเราต่อไป ทุกครั้งที่ให้
ใจเราย่อมสบายเป็นสุข เพราะชนะความตระหนี่ เกิด
ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ส่งกระแสความปรารถนาดีไป
ยังผู้อื่น เมื่อผู้ให้สั่งสมการให้ ก็จะมีจิตใจดีงาม เกิด
ความผ่องใสภายในใจ ผู้ที่มีจิตใจผ่องใส ไม่ขุ่นมัว
เศร้าหมอง เมื่อละโลกย่อมมีสุคติเป็นที่หวังได้ ดัง
พระพุทธพจน์ว่า
“จิตเต อสงฺกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา
เมื่อจิตไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นที่หวังได้”