ข้อความต้นฉบับในหน้า
๙๗
“ไก่งามเพราะขน ความหมายในคำกล่าวนี้บอกให้รู้ว่า ขนย่อมเป็นของรักและหวงแหนอย่างยิ่ง
ของไก่ แต่เกิดอะไรขึ้นกับขนของแม่ไก่ผู้เข้ารอบตัวสุดท้ายตัวนี้
วันหนึ่งหลวงพ่อได้ยกตัวอย่างโดยนำเรื่องแม่ไก่มาเล่าให้หลวงพี่ที่นั่งปฏิบัติธรรมฟังว่า
ในสมัยหลวงปู่ (พระมงคลเทพมุนี หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ) มีแม่ชีท่านหนึ่งนั่งปฏิบัติธรรม
มานานแต่ประสบการณ์ภายในยังไม่คืบหน้า
วันหนึ่งแม่ชีท่านนั้นเดินไปเจอแม่ไก่กำลังกกไข่อยู่
เกิดความสงสัยจึงเข้าไปดูใกล้ ๆ แล้วก็เข้าใจ
ๆ
เห็นควันไฟลอยออกมาจากตัวแม่ไก่
แม่ไก่ตัวนี้กำลังกกไข่ใกล้ ๆ เตาไฟ สะเก็ดไฟจากเตาคงกระเด็นมาถูกเข้าแล้วก็ไหม้ขน
จนควันขึ้น
ทำไมไม่ย้ายหนีไปให้ไกลจากเตา แล้วทำไมถึงอดทนกกต่อไป แต่แล้ววันนั้นท่านก็ได้คิด
อะไรบางอย่างจึงนำมาใช้สอนตัวเอง
ว่าแล้วคืนนั้นท่านก็กลับมานั่งธรรมะ ตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังชนิดที่ไม่เคยเอาจริงเอาจัง
อย่างนี้มาก่อน ท่านบอกตัวเองว่าถ้าจะทำอะไรให้ทำจริง ๆ
ถ้าที่ผ่าน ๆ มาเอาจริง ๑๐๐ เปอร์เซนต์ ครั้งนี้ความจริงจังถ้าอุปมาก็คงเพิ่มมากกว่านั้น
นับล้านเท่า
ท่านได้เอาชีวิตมาวางเดิมพันเช่นเดียวกับที่เห็นแม่ไก่เดิมพันชีวิตมุ่งหน้ากกไข่ต่อไปให้สำเร็จ
แล้วรุ่งเช้าก่อนที่ท้องฟ้าสีทองจะผ่องอำไพ ธรรมะภายในของท่านก็สว่างไสวสมปรารถนา
และนี่คือเรื่องราวของแม่ไก่ตัวสุดท้าย....แม่ไก่ขนไหม้
ก่อนที่กรรมการอย่างเราจะตัดสินให้แม่ไก่ตัวใดได้ครองแชมป์ไก่ห้าดาว ก็ต้องหามาตรฐานก่อนว่า
เราจะใช้หลักเกณฑ์ใดในการตัดสิน
แน่นอนว่าคงไม่ได้ใช้ความงามทางสรีระเป็นแน่ เพราะเรากำลังวัดใจที่ยิ่งใหญ่ในการ
รับผิดชอบนำพาภาระหน้าที่ให้บรรลุเป้าหมายให้สำเร็จ
เกณฑ์ที่จะใช้ในการตัดสินจึงอยู่ที่เป้าหมาย แม่ไก่ตัวใดทำภารกิจลุล่วง ตัวนั้นได้แชมป์
ถ้าใช้เกณฑ์นี้ตัดสิน รางวัลไก่ห้าดาวก็คงต้องมอบให้กับแม่ไก่หมดทุกตัว เพราะทุ่มชีวิต
กกกันขนาดที่เสี่ยงอันตรายถูกรถทับ เสี่ยงต่อพายุฝนและแดดที่แผดเผา เสี่ยงต่อสะเก็ดไฟจากเตา
ทุกตัวจึงมีสิทธิ์คว้าห้าดาวด้วยกันหมด
การจะทำอะไรสักอย่างให้บรรลุจุดหมายสมอย่างตั้งใจ จะศึกษาเล่าเรียน จะทำมาหากิน
จะประกอบอาชีพใด ๆ จะปฏิบัติธรรม จะสร้างบารมี ต่างต้องทุ่มเทชีวิตทำจริง ๆ