ศาสนาพุทธและความไม่เบียดเบียน วารสารอยู่ในบุญ ประจำเดือน กันยายน พ.ศ.2553 หน้า 75
หน้าที่ 75 / 99

สรุปเนื้อหา

ในพระพุทธศาสนาไม่มีความคิดเรื่องการเบียดเบียน เพื่อต้องการเผยแผ่ศาสนา พระสาวกปฏิบัติตามแนวทางของพระองค์ในการเผยแผ่ธรรมะอย่างสงบ ไม่เบียดเบียนศาสนาอื่น ชาวพุทธไม่เคยมีสงครามศาสนา มีการศึกษาจากผู้อื่นที่เปลี่ยนใจมายอมรับพระพุทธศาสนาเพราะเห็นคุณค่าความไม่เบียดเบียน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ทุกคนพิจารณาความรู้อย่างเปิดเผย และมีนักบวชมากมายที่ยอมออกจากความเชื่อเก่า เพื่อเข้าสู่พระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง บทบาทของพระพุทธศาสนาได้รับการพิสูจน์ด้วยเหตุผลและการปฏิบัติ เราย่อมสามารถเชื่อได้ว่าหากเราศรัทธาในพระพุทธศาสนาจริง ๆ ควรลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังเพื่อประโยชน์ของตนเอง

หัวข้อประเด็น

-การเผยแผ่พระพุทธศาสนา
-ความไม่เบียดเบียน
-คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
-การพิสูจน์ศาสนา
-ชุมชนชาวพุทธ

ข้อความต้นฉบับในหน้า

ไม่มีความคิดเรื่องการเบียดเบียน เพื่อหวังจะเผยแผ่ ศาสนาอยู่ในใจเลย พระสาวกของพระองค์และพุทธศาสนิกชน ทั้งหลาย ได้ดำเนินตามแนวทางที่พระองค์ทรงวางไว้ คือ เผยแผ่ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความ สงบ ไม่เบียดเบียนศาสนาอื่น ดังนั้น ๒,๐๐๐ กว่าปี ที่ผ่านมา ชาวพุทธเราจึงไม่เคยมีสงครามศาสนาเลย ครั้งหนึ่ง มีฝรั่งที่เป็นหมอสอนศาสนา มา ศึกษาพระพุทธศาสนา เพื่อจะหาช่องโจมตี แล้วนำ ไปเป็นประโยชน์ในการเผยแผ่ศาสนาของตน แต่เมื่อ ศึกษาไปแล้ว สุดท้ายก็เปลี่ยนมานับถือพระพุทธ ศาสนา แล้วลงมือเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่าง เอาจริงเอาจัง เขาบอกว่า เพียงมองจากแง่มุมที่ว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีธาตุแห่งความเป็น ผู้ไม่เบียดเบียน ซึ่งต่างจากศาสนาอื่นโดยสิ้นเชิง แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขายอมรับนับถือ พระพุทธศาสนาด้วยหัวใจ ดูสาวก นอกจากนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงปิดกั้น ความรู้ ไม่เคยตรัสว่า ความรู้ที่ทรงตรัสรู้มานั้น มี พระองค์รู้ได้คนเดียว คนอื่นห้ามรู้ ต้องเชื่อพระองค์ อย่างเดียว ใครไม่เชื่อบาป แต่พระองค์ทรงบอกทุกคนที่ฟังธรรมจาก พระองค์ว่า อย่าเพิ่งเชื่อ ให้ไตร่ตรองให้ดี ลงมือ ปฏิบัติเสียก่อน พิสูจน์ได้ด้วยตนเองเมื่อไรแล้วค่อย เชื่อ ดังคำสรรเสริญพระพุทธคุณที่เราสวดกันอยู่เป็น ประจำว่า เอหิปัสสิโก แปลว่า จงมาพิสูจน์เถิด ผู้ที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วหมดกิเลสตามพระองค์ไปมีมากมาย ตั้งแต่ครั้ง พุทธกาลจนถึงปัจจุบัน เป็นพยานยืนยันสิ่งที่ทรงตรัสรู้ ซึ่งพระสาวกของพระองค์มีทั้งที่เป็นพระมหากษัตริย์ แล้วสละราชสมบัติออกบวช ได้แก่ พระมหากัปปินะ พระภัททิยะ ที่เป็นมหาเศรษฐีใหญ่ก็มี เช่น เมณฑก เศรษฐี ชฎิลเศรษฐี ฯลฯ และยังมีพราหมณ์มหาศาล คหบดี อัครมหาเสนาบดี รวมทั้งนักบวชต่างศาสนา ที่ยอมทิ้งความเชื่อถือเดิม เช่น ชฎิล ๓ พี่น้อง ซึ่ง เป็นอาจารย์ใหญ่ของพระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์ ๑ ใน ๔ ของประเทศมหาอำนาจของอินเดียในยุคนั้น ยัง ยอมเปลี่ยนความเชื่อดั้งเดิมที่เคยเป็นชฎิลบูชาไฟ หันมาขอบวชเป็นพระภิกษุ เป็นสาวกของพระสัมมา สัมพุทธเจ้า ซึ่งไม่มีเหตุจูงใจใด ๆ เลยที่จะบอกว่า ท่านทั้งหลายเหล่านี้มาหลอกเรา ทุกคนล้วนแต่มี สถานภาพสูงในสังคมทั้งนั้น และมีจำนวนมาก ไม่ใช่ แค่คนสองคน และต่างยืนยันตรงกันทั้งสิ้นว่า สิ่งที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นเป็นความจริง เป็น สัจธรรม ไม่ใช่ความเชื่อ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ได้ ศรัทธาพระพุทธศาสนาเพราะความเชื่อ แต่ศรัทธา ด้วยปัญญาจากการพิสูจน์จนรู้แจ้งเห็นจริง พวกเราชาวพุทธทั้งหลาย แม้ยังปฏิบัติไม่ถึง จุดที่หมดกิเลส แล้วพิสูจน์ได้ด้วยตัวเองถึงจุดนั้น แต่เราสามารถไตร่ตรองด้วยเหตุผลอย่างที่ได้กล่าว มาแล้ว ทั้งเรื่องประวัติขององค์พระศาสดา พระสาวก พระธรรมคำสอน และวิถีแห่งการเผยแผ่ของพระองค์ เมื่อเปรียบเทียบกับทุกศาสนาแล้วเราจะได้คำตอบว่า พระพุทธศาสนาที่เรานับถืออยู่นั้น เป็นศาสนาที่เลิศ ที่ประเสริฐ ที่เราชาวพุทธทุกคนควรจะภาคภูมิใจว่า เป็นบุญของเราเหลือเกินที่เกิดมาเป็นชาวพุทธ มาพบ พระพุทธศาสนา มาพบคำสอนที่เป็นสัจธรรม ซึ่งเป็น ความจริงที่สามารถพิสูจน์ได้ และยืนหยัดท้าทายต่อ การพิสูจน์มาตลอด ๒,๐๐๐ กว่าปี เมื่อภูมิใจอย่างนี้ แล้ว ขอให้ลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังทั้งทาน ศีล ภาวนา ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ให้เราสามารถพูดได้ว่า เราไม่ใช่ชาวพุทธตามทะเบียนบ้าน แต่เป็นชาวพุทธ
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More