ข้อความต้นฉบับในหน้า
๗๙
ก็พูดถึงพระมหาเถระในวัดรูปหนึ่ง ที่อาพาธและเพิ่งมรณภาพไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ท่านบอกว่า “สังขาร
ของพระมหาเถระที่บุกเบิกสร้างวัดพระธรรมกายมาด้วยกันกับหลวงพ่อนี้ ก็เหมือนต้นไม้ ที่ผ่าน
กาลเวลา คร่ำคร่า ใบเหลือน้อย บังแดดบังฝนพอได้ แดดรั่วลงมาได้บ้าง แม้จะเป็นต้นไม้ที่ ผุ ๆ
พัง ๆ แต่ก็ยังมีร่มเงา ยิ่งพอได้อยู่รวม ๆ กันเป็นหมู่ มันก็ครึ้ม ๆ กลายเป็นป่าที่อบอุ่นใจแก่
หมู่ไม้ด้วยกัน”
ผมดูลำต้นที่ก่อนนี้ยังเห็นยืนต้นเด่นเป็นสง่า มาบัดนี้ต้นไม้เหลือแต่ตอ
ผมมองตอไม้และกองใบไม้แห้งที่ต้นไม้สวยที่สุดในโลกฝากทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า ใบไม้แห้งเหล่านี้
จะเปลี่ยนเป็นปุ๋ยที่ส่งกำลังใจต่อให้กับไม้รุ่นที่กำลังจะโตตามมา และนี่คือความสวยงามสุดท้าย
ที่ผมได้เห็นจากไม้ต้นนี้
ตลอดเส้นทางที่เดินจากกุฏิหลวงพ่อไปถึงหน้าโบสถ์ มักจะมีเรื่องราวของชีวิตสีเขียวที่
สวยงามเหล่านี้ให้ผมได้รับรู้อยู่เสมอ ยิ่งฤดูฝนย่างกรายมาเยือนด้วยแล้ว บรรดาต้นกล้าอ่อน ๆ
ต่างก็แตกชำแรกแทรกดินขึ้นมาอย่างร่าเริง ทุกต้นเจริญงอกงามมีชีวิตชีวา หลวงพ่อย้ำว่า ให้ช่วย
กันดูแลให้ดี ๆ รอให้แข็งแรงโตดีแล้วค่อยมาขุดนำเอาไปปลูก
เป็นเรื่องธรรมดาของวงจรชีวิตที่ต้องมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากจากกันไปตามกาลเวลา
แต่ตลอดนับสิบปีที่ผ่านฝน ผ่านหนาว ผลัดใบฤดูแล้วฤดูเล่า ผมยังมีโอกาสเห็นไม้ใหญ่อีกต้นหนึ่ง
ที่ยังคงเข้มแข็งหยัดยืนอย่างอดทน สู้แตกใบใหม่ให้ร่มเงาเป็นที่พึ่งให้กับทุกคนมาตลอดชีวิต
เช่นนี้เป็นชีวิตที่น่านำเอามาเป็นแบบอย่าง