ข้อความต้นฉบับในหน้า
สัตยาธิษฐานว่า “ใคร ๆ จะเป็นที่รักของเรายิ่งกว่า
สุวรรณสามย่อมไม่มี ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษร้ายจง
หายไป” ความอัศจรรย์ก็พลันบังเกิดขึ้น พิษร้าย
ได้หายไปในทันที สุวรรณสามกลับฟื้นขึ้นเป็นปกติ
และนัยน์ตาที่มืดบอดของบิดามารดา ก็กลับเห็น
ชัดเจนเป็นปกติ
พระราชาทรงอัศจรรย์ใจยิ่งนัก ทรง
ประคองอัญชลีขอขมาโทษสุวรรณสาม แล้วตรัส
ถามด้วยความตื่นเต้นว่า “ท่านสามทำกาลกิริยา
(ตาย) ไปแล้วมิใช่หรือ แต่ทำไมท่านจึงยังมีชีวิต
อยู่ล่ะ” สุวรรณสามไม่คิดเคืองแค้นต่อพระราชาเลย
มีแต่จิตที่ประกอบด้วยความเมตตา ทูลถวาย
โอวาทว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า โลกอาจสำคัญว่าข้า
พระองค์นั้นตายแล้ว แต่ความจริงแล้วข้าพระองค์
ยังมีชีวิตอยู่ ข้าแต่มหาราช บุคคลใดเลี้ยงดูบิดา
มารดาโดยธรรม เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ย่อม
แก้ไขคุ้มครองบุคคลผู้นั้น บุคคลใดเลี้ยงดูบิดา
มารดาโดยธรรม นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญ
บุคคลผู้นั้น เมื่อเขาละจากโลกไปแล้ว ย่อมบันเทิง
อยู่ในสวรรค์”
พระราชาทรงดำริว่า “น่าอัศจรรย์จริง เรา
พึ่งประจักษ์ถึงอานุภาพแห่งความกตัญญูกตเวทิตา
ก็ในวันนี้เอง แม้เทวดาทั้งหลายก็เยียวยารักษา
โรคภัยที่เกิดแก่บุคคลผู้เลี้ยงดูบิดามารดาได้
สามบัณฑิตนี้ช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน” แล้วทรง
กล่าวว่า “ท่านสามบัณฑิต ข้าพเจ้าขอถึงท่านเป็น
สรณะและขอท่านจงเป็นที่พึ่งให้แก่ข้าพเจ้าไปสู่
เทวโลกด้วยเถิด”
สุวรรณสามโพธิสัตว์ได้ทูลว่า “ข้าแต่มหาราช
เจ้า ถ้าพระองค์มีพระประสงค์เสด็จสู่เทวโลก ขอ
จงทรงประพฤติในทศพิธราชธรรมจรรยาเหล่านี้เถิด”
เมื่อพระราชาเสด็จกลับแล้ว พระโพธิสัตว์ก็ยังคง
ทำหน้าที่บำรุงบิดามารดาเป็นปกติดังเดิม มิให้
ท่านทั้งสองต้องลำบากกาย ลำบากใจ ทั้งสาม
ท่านได้เพ็ญสมณธรรมด้วยความไม่ประมาท ได้
๒๐