จากเด็กเสิร์ฟสู่เจ้าของร้านอาหาร: เส้นทางชีวิตที่ไม่คาดคิด วารสารอยู่ในบุญ ประจำเดือน พฤศจิกายน พ.ศ.2550 หน้า 58
หน้าที่ 58 / 88

สรุปเนื้อหา

เรื่องราวของเด็กหญิงที่ตัดสินใจหนีจากชีวิตที่อดอยากมายังกรุงเทพฯ เพื่อหางานทำและค้นหาความฝัน ผ่านความยากลำบากในการทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านอาหาร เธออดทนทุกข์ทรมานและมีประสบการณ์ที่ท้าทาย จนกระทั่งได้แต่งงานและเผชิญกับความไม่แน่นอนของการตกงาน เธอได้รับแรงบันดาลใจจากการต่อสู้ชีวิต จึงมุ่งมั่นที่จะเปิดร้านของตัวเอง โดยใช้ความมุ่งมั่นและประสบการณ์ที่เก็บมาเพื่อสร้างชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับตัวเองและครอบครัว แม้จะมีอุปสรรคมากมาย แต่เธอเชื่อมั่นว่า ความอดทนและความพยายามจะนำไปสู่ความสำเร็จในอนาคต

หัวข้อประเด็น

-การต่อสู้ของชีวิต
-การทำงานในกรุงเทพฯ
-ความมุ่งมั่นสู่ความสำเร็จ
-แรงบันดาลใจและความอดทน
-การเปิดร้านอาหาร

ข้อความต้นฉบับในหน้า

แต่ตอนนั้นเราเพิ่งจบ ป.5 ตัวก็เล็กแกร็น อายุก็น้อย พี่สาวจึงไม่เห็นด้วยว่าจะให้ไปทำงานที่ กรุงเทพฯ เขาบอกว่า "อย่างมึง ไม่เกิน ๓ วันก็ร้องไห้ กลับบ้าน แต่เราไม่เชื่อ เรายังยืนกรานที่จะไป เพราะรู้ว่า หากไม่ไปชีวิตก็ต้องอดอยากอยู่อย่างนี้ ต้องเลี้ยงควาย หาผัก จับปลากินไปเรื่อยๆ อย่าง ไม่รู้อนาคต ชีวิตคงไม่ดีขึ้นแน่ เราจึงตัดสินใจ ไปหานายหน้าที่เขาหาคนเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ แล้วยัดเสื้อ 6 ตัว กางเกง ๑ ตัว ใส่ถุงก๊อบแก๊บ หิ้วตามเขามา จนได้งานที่ร้านก๋วยเตี๋ยว ซึ่งเรา ลำบากมาก อีกทั้งยังเป็นเด็กตัวนิดเดียวสิบกว่าขวบ ต้องตื่นตีห้า นอนสี่ทุ่มทุกวัน ทำทุกอย่างทั้งงานบ้าน มาเจอสามีที่นี่ ซึ่งชีวิตเขาก็ลำบากเหมือนๆ กับเรา แต่ยิ่งกว่า คือ เขาเป็นเด็กกำพร้าไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ มาตั้งแต่ ๑๓ ขวบ ต้องสู้ชีวิต ทำงานโรงไม้แบกไม้ หนักๆ ทุกวัน ทนแบกหามเป็นกุลีเหงื่อโทรมกาย แทบไม่ได้พัก เขาจึงคิดอยากจะเปลี่ยนงาน จนมี คนชวนเขามาทำงานร้านอาหาร โดยเริ่มตั้งแต่เป็น เด็กล้างจาน หลังจากนั้นเราก็แต่งงานกัน จนกระทั่ง คลอดลูกได้ ๗ วัน พวกเราก็ต้องพบกับเหตุการณ์ ที่ไม่คาดฝัน คือ เถ้าแก่เกิดเลิกกิจการ ทำให้เรา ตกงานทันที แถมเงินที่ค้างเราทั้ง ๒ คน เขาก็ไม่ให้ เราจึงตกอับต้องออกหางานทำใหม่ แต่เมื่อสามีได้ งานใหม่พอเขาลองไปทำแค่ ๓ วัน ก็ต้องออก ๗ ** มีพี่คนหนึ่งเขามาชวนเราสร้างพระเราดีใจสุดๆ เขาบอกเราว่า หนึ่งหมื่นบาท เราก็ตอบตกลงทันที ทั้งๆ ที่ตลอดชีวิตของเรา ที่ผ่านมาเคยทำบุญสูงสุดแค่ ๕๐๐ บาท แล้วทั้งครอบครัวเราตอนนั้นก็มีเงิน เก็บกันแค่หมื่นเดียวเท่านั้น งานร้าน จนนอนร้องไห้คิดถึงพ่อ คิดถึงพี่สาว คิดถึงน้องๆ ทุกคน แต่เราก็หนีกลับกาฬสินธุ์ไม่ได้ เพราะเราไม่มีเงินติดตัวเลย ไม่รู้จักทาง ไม่รู้จักใคร จึงมีทางเลือกแค่ทางเดียว คือ อดทน ตอนนั้นเราได้เงินเดือนแค่ ๓๐๐ บาท ค่ากิน ข้าว ค่าสบู่ ยาสีฟัน ก็หมดแล้ว ไม่เคยมีสตางค์ เหลือเลย จนกระทั่งต่อมาเราได้ย้ายร้านมาทำงาน ที่ใหม่ เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ด เราก็เจอสภาพคล้ายๆ กัน พอทำครบปีก็ย้ายมาร้านอาหารตามสั่ง คือเรา คิดในใจว่า ยังไงเราจะไม่ยอมเป็นลูกจ้างตลอดชาติ สักวันเราต้องมีร้านเป็นของตัวเอง เราจึงจำเป็นต้อง เก็บประสบการณ์ให้ได้มากที่สุด พอเราย้ายมาก็ได้ 99 เพราะถูกคนเก่าเขม่น เราจึงคิดกันว่าจะมาเปิด ร้านกันเอง จึงออกเดินหาแผงขายของ เราเดินจน หน้ามืด หูอื้อ มือเท้าเหมือนมีเข็มมาทิ่มเราเต็มไป หมด เพราะร่างกายเรายังไม่แข็งแรงเนื่องจากเพิ่ง คลอดลูกได้ไม่กี่วัน จนบังเอิญเดินมาถึงชานชาลา สถานีรถไฟตลาดพลู เห็นแผงว่างอยู่เราก็ตกลงเช่า แผงขายอาหาร และไปขอยืมหม้อ กระทะ เชียง มีด กับเจ้าของร้านที่เราเคยทำงานกับเขา เขาก็ใจดี ให้เรา แต่เขาบอกกับเราว่า ไม่ได้ให้ฟรีนะ เงินเดือน ที่เขาค้างไม่ได้จ่ายให้เรา ๒ คน ประมาณหมื่นหนึ่ง ถือว่าหายกัน ทั้งๆ ที่มูลค่าของกระทะ หม้อ เชียง ที่เขาให้เรามามีมูลค่าน้อยกว่าเงินที่ติดเราไว้มากๆ
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More