ข้อความต้นฉบับในหน้า
๖๔
ปัญหานี้จะแก้ไขได้ด้วยการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ในเรื่องรู้จักประมาณ
ในการบริโภคปัจจัย ๔ ซึ่งก็คือการฝึกเติมธาตุ ๔ ให้พอดี ทั้งคุณภาพ เวลา และปริมาณที่
ไม่เป็นโทษกับร่างกาย และไม่เหลือทิ้งเหลือขว้างจนกลายเป็นกินล้างกินผลาญ ก็จะทำให้
ทุกข์จากการหา การเก็บ การใช้ ลดลงไปได้มาก เวลาของชีวิตในแต่ละวันก็จะเหลือมาก
ขึ้นสำหรับการประพฤติธรรมเพื่อกำจัดทุกข์ประจำสรีระต่อไป
ข้อที่ ๕ - ๖ ความปวดอุจจาระ ความปวดปัสสาวะ
การปวดปัสสาวะกับการปวดอุจจาระก็เช่นกันทุกข์เหล่านี้เป็นทุกข์ประจำสรีระที่ไม่มี
ใครหลีกเลี่ยงได้ สาเหตุของ ๒ เรื่องนี้ เกิดจากความไม่สม่ำเสมอของอุณหภูมิในร่างกาย
อันเกิดจากการเผาผลาญธาตุ ๔ - ที่เติมเข้าไปชดเชยธาตุ ๔ ในร่างกายที่แตกสลายไปแล้ว
(ด้วยอัตราเฉลี่ย ล้านเซลล์ต่อหนึ่งนาที)
moo
ดังนั้น ไม่ว่าร้อนเกินไปหรือว่าหนาวเกินไป ร่างกายจะต้องปรับอุณหภูมิด้วยการ
ขับปัสสาวะออกมา ขณะเดียวกัน กากอาหารต่าง ๆ ที่เหลือทิ้งจากการเผาผลาญ ร่างกาย
ก็ต้องขับออกมาเป็นอุจจาระ เพื่อไม่ให้แปรสภาพเป็นสารพิษตกค้างในร่างกาย
ทุกข์จากการขับถ่ายปัสสาวะอุจจาระนี้ เป็นข้อเตือนใจว่า มนุษย์คนใดก็ตาม ไม่ว่า
จะร่ำรวยที่สุดในโลก จะสวยที่สุดในโลก จะฉลาดที่สุดในโลก ถ้ายังมีอุจจาระปัสสาวะอยู่
เต็มท้อง ก็ฟ้องว่ายังมีทุกข์ประจำสรีระอยู่ทั้งนั้น
ใครก็ตามที่บอกว่าไม่มีทุกข์นั้น ไม่เป็นความจริง ทั้งนี้เพราะตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่ง
เข้านอน ทุกคนต่างต้องมีการขับถ่ายเกิดขึ้นอยู่เป็นช่วง ๆ ตลอดทั้งวัน นี่คือความทุกข์ที่
ยังแก้ไขไม่ตก หลอกตัวเองก็ไม่ได้ สำหรับเรื่องปัสสาวะนั้น ถ้าร่างกายไม่สามารถขับถ่าย
ออกมาได้ภายในไม่เกิน ๑ ชั่วโมง จะรู้สึกทุรนทุรายมาก และจะมีอาการไข้เกิดขึ้นทันที
ส่วนเรื่องอุจจาระนั้น ถ้าไม่ได้ขับถ่าย หรือขับถ่ายไม่ออก ซึ่งเรียกกันว่าท้องผูกสักสองถึง
สามวัน ก็จะมีอาการร้อนใน เป็นแผลในปาก รู้สึกเจ็บและทรมานมาก ถ้าอาการท้องผูก
ยืดเยื้อไปหลายวัน ก็จะมีอาการไข้เกิดขึ้นเหมือนกัน บุคคลที่มีอาการท้องผูกเป็นประจำ
นานไปก็จะเป็นโรคริดสีดวงทวาร ซึ่งจะต้องเสียโลหิตจำนวนมากเป็นระยะ ๆ แม้จะต้อง
รักษากันไปตลอดชีวิตก็ยากที่จะหาย เพราะองคาพยพของทวารหนักได้เสื่อมประสิทธิภาพ
ไปแล้ว
ดังนั้น การปวดอุจจาระ การปวดปัสสาวะ จึงเป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากความไม่บริสุทธิ์
ของธาตุ ๔ ในตัวของคนเรานั่นเอง เป็นความทุกข์ที่เบียดเบียนเราให้อ่อนแอเปราะบาง
อยู่ทุกวัน ๆ แต่ก็ไม่มีใครเฉลียวใจว่ามันคือความทุกข์
เพราะเหตุที่ทรงตระหนักถึงทุกข์ประจำสรีระนี้มาตั้งแต่ครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์